ติดต่อลงโฆษณา racingweb@gmail.com

แสดงกระทู้

ส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูกระทู้ทั้งหมดสมาชิกนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถเห็นเฉพาะกระทู้ในพื้นที่ที่คุณเข้าถึงในขณะนี้


ข้อความ - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 8
1
มิตซูบิชิ ไทรทัน 2024: มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2.4 Pro ปี 2023
740,000 บาท

มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2.4 Pro ปี 2023
MITSUBISHI TRITON  Mega Cab Plus 2.4 Pro ตัวถังดีไซน์ใหม่! เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่ ไฮเปอร์เพาเวอร์ กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ (184 PS) แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร เทอร์โบแปรผัน VG Turbo ช่วงล่างใหม่ ล้อ 16 นิ้ว

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์           Mitsubishi
   รุ่น                มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2.4 Pro ปี 2023
   ประเภทรถ       รถกระบะ 2 ประตู (แค็บ)
   ปีที่เปิดตัว       2023
   ราคา            740,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ล้อแม็ก (16 นิ้ว)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (LED)
ไฟตัดหมอก (LED)
ไฟหน้าฮาโลเจน

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (เข้า-ออก)
ภายในโทนสีดำ (เบาะผ้า)
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (หน้า USB-C / USB-A)

สเปค
   เครื่องยนต์          เครื่องยนต์คลีนดีเซลไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power Engine) เทอร์โบแปรผัน VG Turbo กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)        2,442 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    184 แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์ธรรมดา 6MT
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS                มี (EBD/BA)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง        ดีเซล, B7
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        75 ลิตร
   ระบบจ่ายน้ำมัน                คอมมอนแรล
   น้ำหนักตัวรถ                    -
   ประเภทยางรถยนต์             -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน              ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย
อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ASC/TCL/Active Yaw Control: AYC)
ตัวถังนิรภัย
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
คานเหล็กเสริมนิรภัย
กล้อง (ขณะถอยหลัง)
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก

2
เผยข้อดี ของการจัดฟันเด็ก

การจัดฟัน ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก คือการรักษาที่จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่สวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้เข้ารับการจัดฟันให้มีความมั่นใจ มีรอยยิ้มที่สดใสอีกด้วย ซึ่งการจัดฟันนั้น มีด้วยหลากหลายรูปแบบ โดยทันตแพทย์จะทำการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาฟันของแต่ละบุคคล เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งการจัดฟันด้วยที่เรามักจะพบเห็นได้บ่อยก็คือ การจัดฟันที่มีเครื่องมือแบบติดแน่น

ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้ เป็นการจัดฟันแบบนี้เป็นแบบมาตรฐานที่นิยมจัดกันทั่วไป และต้องเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันทุกๆ 4-6 สัปดาห์ เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน และการจัดฟันแบบนี้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการจัดฟันชนิด รวมไปถึงสีสันของยางที่มีให้เลือกใช้ได้หลากหลายอีกด้วย และในปัจจุบันนี้การจัดฟันก็มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษา ทำให้การจัดฟันมีหลากหลายชนิดมากยิ่งถึง แม้กระทั่งการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 12-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ฟันน้ำนมหลุดหมดแล้ว และมีฟันแท้ขึ้น และยังเป็นช่วงที่ขากรรไกรกำลังเจริญเติบโตด้วย

ซึ่งในวันนี้ทางคลินิกเราจะมารพูดถึงข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ซึ่งเด็กในวัยนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลาของท่านให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงแม้ว่าการจัดฟันในเด็ก จะยังไม่มีความจำเป็นมากนัก แต่ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีสัญญาณว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็ควรพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจรวจฟันกับทันตแพทย์ หรือถ้าหากมีปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟันก็สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้าไปปรึกษาทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่อาจจะสงสัยในเรื่องของการจัดฟันในเด็กว่ามีข้อดีอย่างไร

ทางคลินิกจะมาตอบในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก ว่า เมื่อเด็กเข้ารับการจัดฟันแล้วจะส่งผลดีอย่างไรต่อสุขภาพช่องปาและฟันของเด็กบ้าง ซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันนั้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบไหน หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่เรียงตัวสวยขึ้น มีรอยยิ้มที่สวยงาม ช่วยให้เด็กมีความสดใสสมวัย ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสบฟันที่ดีขึ้น สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดีกว่าเดิม


สำหรับในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพปากและฟันดีขึ้น การทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ส่งผลทำให้ฟันผุน้อยลง และจุดเด่นของการจัดฟันในเด็กก็คือ ช่วยปรับโครงหน้าให้เข้าที่มากยิ่งขึ้น นี่ก็คือข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ที่จะช่วยทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย เป็นที่ประทับใจต่อผู้พบเห็น

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟัน ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดของการจัดฟันในเด็กได้ที่คลินิกได้ ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก และยังมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ และอยากแนะนำ ปลูกฝังให้เด็กๆทุกคนใส่ใจ ตระหนักถึงเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาช่องปากในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3
วัดสวย อยุธยา เที่ยวใกล้กรุงเทพ เช้าไปเย็นกลับ ทำบุญ ไหว้พระดีต่อใจ

ถ้าพูดถึง อยุธยา หลายๆ คนคงจะนึกถึงเมืองเก่า โบราณสถานสวยๆ ตามเรามา เที่ยวอยุธยา กับวัดสวย อยุธยา เที่ยวใกล้กรุงเทพ เช้าไปเย็นกลับ ไหว้พระดีต่อใจ กันได้เลยจ้า เพราะที่นี่เป็นกรุงเก่าที่มีประวัติศาสตร์ และ วัดสวยๆ รอบเมืองเยอะมากๆ ค่ะ ตามเรามาเช็กลิสต์ เที่ยววัดฉบับสายบุญ สายเที่ยว กันได้เลย!

เที่ยวฉบับสายบุญ ไหว้พระ ทำบุญ ดีต่อใจ

1. วัดใหญ่ชัยมงคล

       วัดใหญ่ชัยมงคล ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัดสวย แลนด์มาร์คหนึ่งของจังหวัดอยุธยาเลยก็ว่าได้ค่ะ วัดใหญ่ชัยมงคลแห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ เจดีย์องค์ใหญ่ ที่เชื่อกันว่าได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภายค่ะ และด้านในได้มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่อีกด้วย

      นอกจากนี้แล้วภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระนอนที่ วิหารพระพุทธไสยาสน์ และ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทุกคนเคารพนับถือ และไปกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ

    ที่อยู่ : 40/3 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : 0-3524-2640


2. วัดพนัญเชิงวรวิหาร

       วัดพนัญเชิงวรวิหาร อยู่ไม่ไกลจากวัดใหญ่ชัยมงคลค่ะ เป็นวัดสวยอยุธยา เก่าแก่ และสำคัญที่ต้องมาให้ได้สักครั้ง ภายในประดิษฐาน พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต หรือ เจ้าพ่อซำปอกง พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองตอนปลาย ปางมารวิชัย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา และยังเป็นที่สักการะนับถือทั้งคนไทย และคนไทยเชื้อสายจีนค่ะ

       ในทุกๆ ปีจะมีการจัดงานสรงน้ำและห่มผ้าถวายในช่วงประมาณเดือนเมษายน จะมีการสรงน้ำและเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ให้องค์พระ และผ้าผืนเก่าที่ใช้มาตลอด 1 ปีนั้นจะฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แจกจ่ายให้ผู้คนนำไปบูชา

    ที่อยู่ : หมู่ 2 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : 0-3524-3867


3. วัดพุทไธศวรรย์

      วัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียง ตามตำนานเล่าว่า วัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชอนุสรณ์ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยา ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ ปรางค์ประธาน องค์ใหญ่ศิลปะแบบขอม และ พระตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาค่ะ

       ในประวัติศาสตร์ตอนเสียกรุงฯ ในปี พ.ศ. 2310 วัดพุทไธศวรรย์เป็นอีกวัดหนึ่งที่ไม่ถูกข้าศึกทำลายเหมือนวัดอื่นๆ ทำทุกวันนี้จึงยังมีโบราณสถานไว้ชมอีกมากมายค่ะ

    ที่อยู่ : หมู่ที่ 8 ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -


4. วัดไชยวัฒนาราม

      วัดไชยวัฒนาราม เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง เมื่อปี พ.ศ.2173 เป็นวัดหลวงที่มีความสำคัญมากๆ เพราะเป็นวัดที่บำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์สืบต่อมาหลังจากนั้นทุกพระองค์ และยังเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ด้วย

       จุดน่าสนใจ และสวยงามของวัดก็คือ ระเบียงคด เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างเมรุแต่ละเมรุเอาไว้ โดยรอบฐานประทักษิณซึ่งแต่เดิมจะมีหลังคารอบๆ ที่บริเวณระเบียงคดนี้จะมีพระพุทธรูป ปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ รวมทั้งหมด 120 องค์ ปัจจุบันเหลือที่ยังมีพระเศียรอยู่ 2 องค์ค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลบ้านป้อม อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.30 น.
    โทร : -


5. วัดพระศรีสรรเพชญ์

       วัดพระศรีสรรเพชญ์ สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2035 โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นอดีตวัดหลวงประจำพระราชวัง คือเป็นวัดที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงของพระนครศรีอยุธยาในสมัยอดีตนั่นเอง เป็นวัดประจำวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา เทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดารามในกรุงเทพฯ เลยทีเดียวค่ะ

       จุดที่น่าสนใจ และสำคัญคือ เจดีย์ทรงลังกา จำนวน 3 องค์ที่วางตัวเรียงยาว ซึ่งบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

    ที่อยู่ : ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


6. วัดมหาธาตุ อยุธยา

       วัดมหาธาตุ เป็นวัดที่จัดอยู่ใน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ค่ะ ที่นี่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีกด้วย สร้างในสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ขุนหลวงพะงั่ว เมื่อปี พ.ศ. 1917 แต่แล้วเสร็จ และสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จในสมัยสมเด็จพระราเมศวร

       สิ่งที่น่าสนใจในวัดมหาธาตุก็คือ เศียรพระพุทธรูปในรากไม้ ที่มีอายุกว่าร้อยปีอยู่ที่วิหารเล็ก ซึ่งมีรากไม้แผ่รากขึ้นเกาะเต็มผนัง รากไม้ส่วนหนึ่งได้ล้อมเศียรพระพุทธรูปไว้ เป็นจุด Unseen Thailand อีกหนึ่งที่เลยทีเดียวค่ะ

    ที่อยู่ : เชิงสะพานป่าถ่าน ถนนนเรศวร ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


7. วิหารพระมงคลบพิตร

       วิหารพระมงคลบพิตร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นช่วงแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นวัดเก่าแก่ในเขตกำแพงเมืองที่สวยงาม และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ภายในวิหารมี พระมงคลบพิตร พระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่ที่สวยงาม หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์เดียวในประเทศไทย แม้จะได้รับความเสียหายในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แต่ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด

    ที่อยู่ : ถนนนเรศวร ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


8. วัดราชบูรณะ

       วัดราชบูรณะ สร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา ในปี พ.ศ. 1967 เป็นหนึ่งในวัดที่ใหญ่และมีความเก่าแก่มากที่สุดในอยุธยา โบราณสถานสำคัญในวัดก็คือ พระปรางค์วัดราชบูรณะ ซึ่งมีมีกรุใหญ่และลึก ทั้งหมด 3 ห้องใหญ่ๆ เรียงกันลงไป ห้องที่อยู่ในสุด เป็นห้องที่สำคัญที่สุด บรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งเก็บรักษาอย่างดีในเจดีย์ทองคำและรอบๆ ยังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปต่างๆ

    ที่อยู่ : ถนนชีกุน ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


9. วัดธรรมิกราช

       วัดธรรมิกราช ที่นี่เป็นวัดหลวงเก่าแก่ที่พระมหากษัตริย์เสด็จมาฟังธรรมกันประจำในวันพระ สร้างขึ้นโดย พระยาธรรมิกราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ที่นี่ยังเป็นสถานที่สอบเปรียญธรรมสำหรับพระสงฆ์ในสมัยโบราณอีกด้วย

       จุดเด่นที่สำคัญคือ เป็นวัดที่มีการพบ เศียรพระธรรมิกราช ซึ่งนับเป็นเศียรพระพุทธรูปสำริดที่มีขนาดใหญ่สุด และมีความสำคัญมากที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และเจดีย์ทรงกลมที่มีปูนปั้นรูปสิงห์ล้อมที่หาชมได้ยาก

    ที่อยู่ : ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


10. วัดกษัตราธิราชวรวิหาร

       วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีพระปรางค์เป็นประธานของวัด สถานที่สำคัญภายในวัดคือ พระประธานในพระอุโบสถ ที่มีแท่นฐานผ้าทิพย์ปูนปั้น ประณีตงดงาม ใบเสมาของพระอุโบสถเป็นใบเสมาคู่แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง

    ที่อยู่ : 33/5 ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -

11. วัดมเหยงคณ์

       วัดมเหยงคณ์ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือ เจ้าสามพระยา ภายในวัดมเหยงคณ์ มีพระอุโบสถ ตั้งอยู่บนฐานสูง 2 ชั้นลดหลั่นกัน จึงนับได้ว่าที่นี่เป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ฐานช้างล้อมซึ่งเป็นเจดีย์องค์ประธานของวัดมเหยงคณ์อีกด้วย

    ที่อยู่ : ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -


12. วัดโลกยสุธาราม

       วัดโลกยสุธาราม สันนิษฐานว่าได้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางในสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช (พระราชบิดาเจ้าสามพระยา) เมื่อปี พ.ศ.1995 จุดเด่นของวัดก็คือ พระพุทธไสยาสน์ ที่ใหญ่ที่สุดในเกาะเมืองอยุธยา ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง จึงมักมีนักท่องเที่ยวมาสักการะพระพุทธไสยาสน์อยู่เสมอๆ

    ที่อยู่ : 199/29 หมู่ 8 ศรีสรรเพชญ์ ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


13. วัดพระราม

       วัดพระราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเขตพระราชวัง เป็นโบราณสถานเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1912 ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร ในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดานั่นเองค่ะ

       โบราณสถานที่สำคัญคือ พระปรางค์ ซึ่งเป็นพระปรางค์ทรงขอมโบราณขนาดใหญ่ ที่มุมปรางค์ประกอบด้วยรูปสัตว์หิมพานต์ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังทั้งสองด้าน เป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งปางมารวิชัยบนบัลลังก์

    ที่อยู่ : ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


14. วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร

       วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร วัดสไตล์โกธิก หนึ่งเดียวในประเทศไทย ตั้งอยู่บนเกาะลอย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาค่ะ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นโดยใช้สถาปัตยกรรมในแบบโกธิคและเลียนแบบโบสถ์ของศาสนาคริสต์ในการก่อสร้างค่ะ

       ความโดดเด่นของที่นี่คือ พระอุโบสถ เป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วซ้อนกัน 2ชั้น รอบผนังพระอุโบสถจะเจาะช่องหน้าต่าง เป็นลักษณะโค้งๆ แต่ปลายแหลม บริเวณหลังพระอุโบสถ จะเป็นหอระฆังยอดโดม เป็นทรงกรวยแหลมสูง 3 ชั้นค่ะ เป็นอีกหนึ่ง วัดสวยในอยุธยา ที่ต้องห้ามพลาด

    ที่อยู่ : ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -


4
คอนโดติดรถไฟฟ้า เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
เริ่มต้น 1.3 ลบ. 

เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
เตรียมพบกับ เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน ออกแบบด้วยความใส่ใจ เก็บทุกรายละเอียดแม้ว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแบบฉบับ Made From Her ใกล้สถานี INTERCHANGE รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีเขียว ใกล้ทางด่วนกาญจนาภิเษก เชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวก ตอบโจทย์ได้ทั้งคนรุ่นใหม่ คนที่มีรายได้จำกัด ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
 เจ้าของโครงการ      เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย           เสนา คิทท์
 ราคา                   เริ่มต้น 1.3 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด            Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี            1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี             ตั้งแต่ 22.50 ถึง 44.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             4 ไร่ 2 งาน 82 ตร.ว.
 จำนวนตึก                 3 อาคาร
 จำนวนชั้น                 8 ชั้น
 จำนวนห้อง               618 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน           สมุทรปราการ, บางพลี, บางบ่อ, พระประแดง
 ที่ตั้ง          สุขุมวิท 113 ตำบล สำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ สมุทรปราการ 10270

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:             ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(แบริ่ง - บางปู)(สำโรง), ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, สถานี(ลาดพร้าว - สำโรง)(ศรีด่าน)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Jas Urban ศรีนครินทร์
Foodland ศรีนครินทร์
Lotus ศรีนครินทร์
Home Pro ศรีนครินทร์
Big C ศรีนครินทร์
Makro ศรีนครินทร์
Imperial world
Central Bangna
Mega Bangna
โรงเรียนเซนต์โยเซฟ บางนา
โรงเรียนนานาชาติไทย – สิงคโปร์
โรงเรียนวัดด่านสำโรง
โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ
โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ทิพวัล
โรงเรียนบางกอกพัฒนา
โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ
โรงเรียนลาซาล
โรงพยาบาลสินแพทย์ เทพารักษ์
โรงพยาบาลศิครินทร์
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์
โรงพยาบาลไทยนครินทร์
โรงพยาบาลสมุทรปราการ

5
ใส่ชุดขาวปฏิบัติธรรมเจริญจิตตภาวนาเพื่อความเป็นสิริมงคลเสริมบารมี สร้างความดีวิถีพุทธ

วัดวรุณดิษฐารามตั้งอยู่ในจังหวัดตราด ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเงียบสงบสำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบ การเติบโตทางจิตวิญญาณและความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับคำสอนของพระพุทธศาสนาเหมาะใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดวารุณดิษฐาราม วัดแห่งนี้รายล้อมไปด้วยความงามตามธรรมชาติของทิวทัศน์อันเขียวชอุ่มของตราด

สถานปฏิบัติธรรมอันสงบเพื่อการทำสมาธิและไตร่ตรอง
วัดวรุณดิษฐารามเป็นสถานที่ที่สงบเงียบและเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม วัดแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้ที่ต้องการนั่งสมาธิ ศึกษาพระธรรม และเจริญสติ ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้มาเยือนสามารถหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

เรียนรู้และปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพุทธศาสนา
วัดแห่งนี้อุทิศตนเพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่ประเพณีอันดีงามของพระพุทธศาสนาไทย ผู้เยี่ยมชมสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา เช่น อริยสัจสี่ มรรคมีองค์ 8 และการฝึกสติ พระสงฆ์ที่วัดวรุณดิตถ์พร้อมเสมอที่จะให้คำแนะนำ แบ่งปันปัญญาและช่วยให้เข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
วัดวรุณดิษฐารามไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจังหวัดตราดอีกด้วย วัดแห่งนี้สะท้อนถึงมรดกทางพุทธศาสนาอันล้ำลึกของภูมิภาคนี้ และยังให้ความรู้เกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรมของพุทธศาสนาไทยอีกด้วย เป็นสถานที่ที่ผู้เยี่ยมชมสามารถเชื่อมโยงกับอดีตได้ในขณะที่เรียนรู้คำสอนอันไร้กาลเวลาของพระพุทธเจ้า

การเดินทางแห่งความสงบและการค้นพบตนเอง
การไปเยี่ยมชมวัดวรุณดิษฐารามนั้นไม่เพียงแต่เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางเพื่อค้นพบตัวเองอีกด้วย ไม่ว่าคุณต้องการฝึกฝนการทำสมาธิให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ศึกษาปรัชญาพุทธ หรือเพียงแค่เพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติ วัดแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการไตร่ตรองอย่างเงียบสงบและการพัฒนาตนเอง คำแนะนำของพระสงฆ์และสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบจะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณปลูกฝังความสงบภายในและพัฒนาความเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของคุณมากขึ้น

สำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรม วัดวรุณดิษฐารามในจังหวัดตราดเป็นอัญมณีที่ซ่อนเร้นซึ่งมอบประสบการณ์ที่มีความหมายและเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิหนึ่งวันหรือการเข้าพักระยะยาว สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มอบสภาพแวดล้อมที่สงบสุขและเอื้ออาทรสำหรับผู้ที่เดินตามเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ

6
มอเตอร์ไซด์ใหม่ ฮอนด้า Honda PCX 160 RoadSync ปี 2025
99,900 บาท 

ฮอนด้า Honda PCX 160 RoadSync ปี 2025
Honda PCX 160 รุ่น RoadSync เสริมเอกลักษณ์แห่งความภูมิใจด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ทรง Victory Shape พร้อมไฟเลี้ยว LED เพิ่มการส่องสว่าง และไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ทั้งนี้ มาพร้อมพลังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว 157 ซีซี. ให้สมรรถนะแรงต่อเนื่อง ส่งเต็มกำลัง สมูท ลื่นไหล ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบเบรก ABS ล้อหน้าที่มาพร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่จุได้ 30 ลิตร และกุญแจรีโมตอัจฉริยะ Honda SMART KEY & CONTROLLER ที่สั่งงานง่ายเพียงบิดสวิตช์ มีวางจำหน่ายในเฉดสีใหม่ ทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Innovate Blue และ สีแดง-ดำ Matt Red ราคาแนะนำที่ 99,900 บาท

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                          Honda
   รุ่น                                    ฮอนด้า Honda PCX 160 RoadSync ปี 2025
   ประเภทรถ                   รถครอบครัวแบบสกู๊ตเตอร์
   ปีที่เปิดตัว                     2025
   ราคา                               99,900 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์             เกียร์ออโต้
   ระบบเกียร์                V-Matic แบบสายพาน (V-Belt)
   รายละเอียดเครื่องยนต์           SOHC แบบซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์
   ระบบระบายความร้อน             น้ำ
   ระบบสตาร์ท                               สตาร์ทเท้าพร้อมไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)           156.93 CC
   แบบเครื่องยนต์                           4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด                           Full Transistorized
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง           เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, แก๊สโซฮอล์ E20, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                           หัวฉีด (PGM-Fi)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)              8.1 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน                        ล้อหน้า เทเลสโคปิค, ล้อหลัง ยูนิตสวิง
   ระบบเบรค                                      ล้อหน้า ดิสก์เบรก (Combi Brake), ล้อหลัง ดรัมเบรก ()
   แบบวงล้อ                                      แมกซ์
   ขนาดยาง                                        ล้อหน้า 110/70-14 M/C 50P Tubeless, ล้อหลัง 130/70-13 M/C 63P Tubeless
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)         1,936 X 742 X 1,123 มม.
   น้ำหนักตัวรถ                                     133.00 กก.

7
Doctor At Home: ภาวะไตวาย (Renal failure)

ภาวะไตวาย (ไตล้ม ไตไม่ทำงาน ก็เรียก) หมายถึงภาวะที่เนื้อไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายจนทำงานไม่ได้ หรือได้น้อยกว่าปกติ ทำให้น้ำและของเสียไม่ถูกขับออกมา จึงเกิดการคั่งจนเป็นพิษต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดผลกระทบต่อดุลของอิเล็กโทรไลต์ และความเป็นกรดด่างในเลือด รวมทั้งเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนบางชนิดที่ไตสร้าง การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้นำไปสู่อาการผิดปกติของอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย

ภาวะไตวายสามารถแบ่งเป็น ไตวายเฉียบพลัน (มีอาการเกิดขึ้นฉับพลัน และเป็นอยู่นานเป็นวันและเป็นสัปดาห์) กับ ไตวายเรื้อรัง (ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อยนานเป็นแรมเดือนแรมปี)

โรคนี้จัดเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไตวายเรื้อรัง จะพบได้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากขึ้น เนื่องจากจะมีโอกาสเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต โรคติดเชื้อ เป็นต้น) ที่มีภาวะแทรกซ้อนต่อไต หรือมีการใช้ยาที่มีพิษต่อไตมากขึ้น
 

สาเหตุ

ไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure) อาจมีสาเหตุมาจากโรคไตโดยตรงหรือภาวะผิดปกติที่อยู่นอกไต ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตก็ได้ เช่น

    ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง เช่น การตกเลือด การสูญเสียน้ำ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น
    โรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ภาวะหัวใจวาย ความดันโลหิตสูงรุนแรง
    การติดเชื้อรุนแรง เช่น มาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส ภาวะโลหิตเป็นพิษ
    โรคไต เช่น หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน
    ความผิดปกติของหลอดเลือดในไต เช่น หลอดเลือดแดงไตตีบ (renal artery stenosis) ภาวะมีสิ่งหลุดอุดตันในหลอดเลือดแดงไต (renal embolism)
    การอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ท่อไตถูกผูกโดยความเผอเรอจากการผ่าตัดในช่องท้อง ต่อมลูกหมากโต ท่อปัสสาวะตีบ เนื้องอกกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น
    งูพิษกัด เช่น งูแมวเซาหรืองูทะเลกัด
    ต่อต่อย ผึ้งต่อย
    ผลข้างเคียงจากยาหรือสารเคมี เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาต้านเอซ ซัลฟา คาน่าไมซิน เจนตาไมซิน อะมิคาซิน ไซโคลสปอรีน แอมโฟเทอริซินบี สารไอโอดีนที่ใช้ฉีดในการตรวจเอกซเรย์พิเศษ เป็นต้น
    ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์เป็นพิษ รกลอกตัวก่อนกำหนด
    อื่น ๆ เช่น ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ตับวาย

ไตวายเรื้อรัง (chronic renal failure) ส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ขาดการรักษาอย่างจริงจัง

อาจเกิดจากโรคไตเรื้อรัง เช่น หน่วยไตอักเสบ กรวยไตอักเสบเรื้อรัง โรคไตเนโฟรติก นิ่วไต โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง*

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากโรคเกาต์ เอสแอลอี ภาวะยูริกในเลือดสูง ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง โรคเอดส์ พิษจากยา (เช่น ยาแก้ปวด ลดไข้-เฟนาซิติน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ลิเทียมไซโคลสปอรีน ยาต้านมะเร็ง เป็นต้น) พิษจากสารตะกั่วหรือแคดเมียม เป็นต้น

*ถุงน้ำไตชนิดหลายถุง (polycystic kidney) มีลักษณะเป็นถุงน้ำ (cyst) จำนวนมากซึ่งพบที่ไตทั้ง 2 ข้าง เป็นความผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิดซึ่งถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถุงน้ำจะค่อย ๆ โตขึ้นเบียดเนื้อไตที่ปกติจนไตทำหน้าที่ผิดปกติ ซึ่งมักปรากฏอาการแสดงของโรคเมื่ออายุมากขึ้น ผู้ป่วยมักมีภาวะความดันโลหิตสูง มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ (รวมทั้งภายในถุงน้ำ) บ่อย และเกิดภาวะไตวายเรื้อรังในที่สุด

อาการ

ไตวายเฉียบพลัน อาการเด่นชัด คือ มีปัสสาวะออกน้อยกว่า 400 มล. ใน 24 ชั่วโมง หรือไม่มีปัสสาวะออกเลย (ไม่มีอาการปวดปัสสาวะ และสวนปัสสาวะก็ไม่มีปัสสาวะออกมากกว่านี้) ต่อมาไม่นานผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา ในที่สุดผู้ป่วยจะมีอาการซึม สับสน ชัก และหมดสติ

ผู้ป่วยอาจมีประวัติการใช้ยาหรือมีอาการเจ็บป่วยนำมาก่อน เช่น ไข้ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ งูกัด ต่อต่อย ตกเลือด ภาวะช็อกจากสาเหตุต่าง ๆ เป็นต้น

ไตวายเรื้อรัง อาการขึ้นกับความรุนแรงของโรค โดยในระยะแรกอาจไม่มีอาการให้สังเกตได้ชัดเจน และมักจะตรวจพบจากการตรวจเลือด (พบว่ามีระดับครีอะตินีนและบียูเอ็นสูง) ในขณะตรวจเช็กสุขภาพ หรือมาพบแพทย์ด้วยโรคอื่น

ผู้ป่วยจะมีอาการชัดเจนเมื่อเนื้อไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายจนทำหน้าที่ได้น้อยกว่าร้อยละ 5 ของไตปกติ โดยจะสังเกตว่ามีปัสสาวะออกมาก และปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดินบ่อย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ขาดสมาธิ ตามัว ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ คันตามผิวหนัง ชาตามปลายมือปลายเท้า

บางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อย สะอึก เป็นตะคริว ใจหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก บวม หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด

เมื่อเป็นถึงขั้นสุดท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการซึม ชัก หมดสติ


ภาวะแทรกซ้อน

ไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากไตขับน้ำไม่ได้ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำในกระแสเลือด (hypervolemia) เป็นผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และภาวะหัวใจวายตามมา

นอกจากนี้ยังเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (เนื่องจากไตขับสารนี้ได้น้อยลง) อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้นได้ ภาวะเลือดเป็นกรด (เนื่องจากขับกรดที่ได้จากการเผาผลาญโปรตีนได้น้อยลง) ทำให้มีอาการหายใจหอบลึก ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง (เช่น ซึม ชัก) เนื่องจากภาวะยูรีเมีย (uremia) ภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากเกล็ดเลือดไม่จับตัว ทำให้มีเลือดออกง่าย อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) เกิดจากการคั่งของสารบียูเอ็น (บียูเอ็นมากกว่า 100 มก./ดล.) จะมีอาการไข้สูง เจ็บหน้าอก ภาวะติดเชื้อง่าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษตามมา

ภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้นล้วนมีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่มีความรุนแรงไม่มาก ได้แก่ ภาวะซีดเนื่องจากไตสร้างสาร อีริโทรพอยเอทิน (erythropoietin) ไม่ได้ สารนี้มีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อขาดก็ทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงได้ไม่ดี ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการมือจีบเกร็ง เป็นตะคริว ภาวะแมกนีเซียมในเลือดสูง ภาวะยูริกในเลือดสูง

ไตวายเรื้อรัง นอกจากจะพบภาวะแทรกซ้อนแบบเดียวกับไตวายเฉียบพลันแล้ว ยังอาจพบปอดอักเสบ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ (ชาปลายมือปลายเท้า) โรคกระเพาะ ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน (hyperparathyroidism) ภาวะกระดูกอ่อน (osteomalacia) ต่อมอัณฑะทำงานน้อย ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (องคชาตไม่แข็งตัว) ประจำเดือนผิดปกติ หรือประจำเดือนขาด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

ไตวายเฉียบพลัน อาจตรวจไม่พบอะไร นอกจากอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น ความดันต่ำและชีพจรเร็วในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก อาการดีซ่านในผู้ป่วยโรคตับ ไข้ในผู้ป่วยมาลาเรียหรือโรคติดเชื้อ เป็นต้น)

บางรายอาจพบอาการซีด หายใจหอบลึก ความดันโลหิตสูง มือจีบเกร็งหรือเป็นตะคริว หรือใช้เครื่องฟังตรวจปอดได้ยินเสียกรอบแกรบ (crepitation)

ในระยะท้าย อาจพบอาการซึม ชัก หมดสติ

ไตวายเรื้อรัง จะมีสิ่งตรวจพบเมื่อเป็นโรคในระยะรุนแรงมากแล้ว ได้แก่ อาการซีด ความดันโลหิตสูง ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ จุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง

บางรายอาจพบอาการเท้าบวม (กดบุ๋ม) ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ หรือใช้เครื่องฟังตรวจปอดได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (พบระดับบียูเอ็นและครีอะตินีนสูงกว่าปกติ ยิ่งสูงมากก็แสดงว่าโรคยิ่งรุนแรง ระดับโพแทสเซียมฟอสเฟตและแมกนีเซียมสูง ระดับแคลเซียมต่ำ เลือดมีภาวะเป็นกรด ระดับฮีโมโกลบินต่ำ) ตรวจปัสสาวะ (พบสารไข่ขาว น้ำตาล เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว) เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ และตรวจพิเศษอื่น ๆ บางรายอาจต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อไต (renal biopsy) โดยการเจาะเอาเนื้อเยื่อไตไปตรวจ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ไตวายเฉียบพลัน แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุ และแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น จำกัดปริมาณของน้ำ โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโปรตีน ฉีดยาขับปัสสาวะ-ฟูโรซีไมด์ ให้โซเดียมไบคาร์บอเนต แก้ภาวะเลือดเป็นกรด ให้เลือดในรายที่ตกเลือด เป็นต้น

ถ้าจำเป็นอาจต้องทำการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis)

ผลการรักษาขึ้นกับสาเหตุที่พบ ถ้าเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง โรคติดเชื้อ พิษจากยาบางชนิด ก็อาจมีทางรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะไตวายเฉียบพลันมักเกิดขึ้นรวดเร็ว และมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง จึงมีโอกาสเป็นอันตรายถึงตายได้ค่อนข้างสูง

2. ไตวายเรื้อรัง ถ้ามีสาเหตุชัดเจนก็ให้รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต เป็นต้น)

นอกจากนี้ ยังต้องรักษาภาวะผิดปกติต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากไตวาย เช่น

    จำกัดปริมาณโปรตีนที่กินไม่เกินวันละ 40 กรัม (ไข่ไก่ 1 ฟอง มีโปรตีน 6-8 กรัม นมสด 1 ถ้วย มีโปรตีน 8 กรัม เนื้อสัตว์ 1 ขีด มีโปรตีน 23 กรัม)
    จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณปัสสาวะต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ประมาณ 800 มล./วัน) เช่น ถ้าผู้ป่วยมีปัสสาวะ 600 มล./วัน น้ำที่ควรได้รับเท่ากับ 600 มล.+800 มล. (รวมเป็น 1,400 มล./วัน) เป็นต้น
    จำกัดปริมาณโซเดียมที่กิน ถ้ามีอาการบวมหรือมีปัสสาวะน้อยกว่า 800 มล./วัน ควรงดอาหารเค็ม งดใช้เครื่องปรุง (เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกชนิด) ผงชูรส สารกันบูด อาหารที่ใส่ผงฟู อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดอง หนำเลี้ยบ
    จำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่กิน ถ้ามีปัสสาวะน้อยกว่า 800 มล./วัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือโพแทสเซียมสูง เช่น ผลไม้แห้ง ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะตอ มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ เป็นต้น

หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้โพแทสเซียมในเลือดสูง เช่น อะมิโลไรด์ (amiloride) ไตรแอมเทอรีน (triamterene) สไปโรโนแล็กโทน (spironolactone) ยาต้านเอซ ยาที่เข้าสารโพแทสเซียม เป็นต้น

    จำกัดปริมาณแมกนีเซียมที่กิน ด้วยการงดยาลดกรดที่มีเกลือแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์
    ถ้ามีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง หรือภาวะเลือดเป็นกรด ให้กินยาเม็ดแคลเซียมคาร์บอเนต (650 มก.) ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
    ถ้าบวม ให้ยาขับปัสสาวะ-ฟูโรซีไมด์
    ถ้ามีความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจวาย ก็ให้ยารักษาภาวะเหล่านี้
    ถ้าซีด อาจต้องให้เลือด บางรายแพทย์อาจสั่งให้ฉีดฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน (erythropoietin) เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (ยานี้มีราคาแพง และอาจทำให้ความดันโลหิตสูง)

สำหรับผู้ป่วยที่ไตวายเรื้อรังระยะท้าย (มักมีระดับครีอะตินีนและบียูเอ็นในเลือดสูงเกิน 10 และ 100 มก./ดล. ตามลำดับ) การรักษาทางยาจะไม่ได้ผล จำเป็นต้องทำการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis) ซึ่งมีอยู่หลายวิธี ได้แก่

    การล้างไตผ่านทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (continuous ambulatory peritoneal dialysis/CAPD) วิธีนี้แพทย์สามารถฝึกให้ผู้ป่วยทำเองที่บ้านได้ นับว่าสะดวก แต่ต้องทำการเปลี่ยนถุงน้ำยาวันละ 4 ครั้ง ทุก ๆ วันตลอดไป และแพทย์จะนัดมาเปลี่ยนสายน้ำยาที่ใช้ฟอกล้างของเสียทุก 1 เดือน ผู้ป่วยสามารถทำงานและปฏิบัติภารกิจได้เหมือนคนปกติ
    การล้างไตโดยการฟอกเลือด (hemodialysis) นิยมเรียกว่า การล้างไตด้วยเครื่องไตเทียม หรือการทำไตเทียม ผู้ป่วยต้องไปทำที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

การทำการล้างไตทั้ง 2 วิธี จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี (สามารถทำงาน ออกกำลังกาย และมีเพศสัมพันธ์ได้เช่นคนปกติ) มีชีวิตยืนยาวขึ้น บางรายอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง

ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้ายบางราย แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไตหรือเปลี่ยนไต (renal transplantation) ซึ่งนับว่าเป็นวิธีรักษาที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนปกติ และมีอายุยืนยาว (อายุการทำงานของไตใหม่ ร้อยละ 18-55 อยู่ได้นาน 10 ปี) แต่การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีรักษาที่ยุ่งยาก ราคาแพง และจะต้องหาไตจากญาติสายตรงหรือผู้บริจาคที่มีไตเข้าได้กับเนื้อเยื่อของผู้ป่วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ป่วยอาจต้องทำการล้างไตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาไตที่เข้ากันได้ นอกจากนั้นภายหลังการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น สเตียรอยด์ ไซโคลสปอริน อะซาไทโอพรีน) ทุกวันตลอดไป เพื่อป้องกันมิให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย ซีด เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ตามปลายมือปลายเท้าเป็นตะคริว เท้าบวม หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เกาต์ โรคไต) หรือมีประวัติใช้ยาแก้ปวด หรือแก้ข้ออักเสบมานาน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไตวาย ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ไม่ควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิดอาจมีพิษต่อไต หรืออาจต้องปรับลดขนาดยาลงจากที่ใช้ในคนปกติ รวมทั้งไม่ควรกินยาหม้อหรือยาต้มที่ประกอบด้วยสมุนไพรชนิดต่าง ๆ เพราะอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง การใช้ยาเองอย่างผิด ๆ อาจทำให้เกิดอันตราย

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หายใจหอบ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน เท้าบวม เป็นตะคริว ซึม ชัก มีเลือดออก หรือมีอาการไม่สบาย (เช่น ไข้ ปวดท้อง ท้องเดิน  เป็นต้น)
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ตรวจเช็กดูว่าเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคเกาต์หรือไม่ ถ้าเป็นต้องรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องจนสามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลและยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

2. เมื่อเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ) หรือมีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ (เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) จะต้องทำการรักษาให้หายขาด

3. เมื่อป่วยเป็นโรคติดเชื้อ งูกัด หรือท้องเดิน ต้องรีบรักษา อย่าปล่อยจนเกิดภาวะช็อก ซึ่งมีผลทำให้ไตวายตามมาได้

4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อไต และระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีเลือดไปเลี้ยงไตไม่ดี (เช่น ตับแข็ง หัวใจวาย หลอดเลือดแดงไตตีบ ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง)


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ควรติดต่อกับแพทย์อย่าได้ขาด ควรกินยาและปฏิบัติตัว รวมทั้งการควบคุมอาหารตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีอายุยืนยาวต่อไปอีกนาน

2. ไตวายเป็นภาวะที่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อร่างกาย ถ้าเป็นเรื้อรังมักจะมีความยุ่งยากและสิ้นเปลืองในการรักษา ดังนั้น จึงควรหาทางป้องกันมิให้เป็นโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรรักษาตัวอย่างจริงจังจนสามารถควบคุมโรคได้ จะได้ลดความเสี่ยงต่อการเป็นไตวายแทรกซ้อน

3. การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีรักษาภาวะไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่ดีที่สุดในปัจจุบัน จึงควรรณรงค์ให้ผู้คนทั่วไปหันมาบริจาคไตกันให้มากขึ้น จะได้มีไตบริจาคช่วยเหลือให้ผู้ป่วยพ้นจากความทุกข์ทรมาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นคนปกติ

คุณสมบัติของผู้ป่วยที่จะรับการปลูกถ่ายไต

    อายุไม่เกิน 55 ปี ถ้าอายุมากการผ่าตัดมักจะไม่ค่อยได้ผลเนื่องจากหลอดเลือดแข็ง
    ไม่มีโรคที่สำคัญ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคมะเร็ง เป็นต้น
    ไม่เป็นโรคติดเชื้อ เนื่องจากหลังปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน อาจทำให้โรคติดเชื้อลุกลามรุนแรงได้
    มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง เพราะหลังผ่าตัดอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง จึงต้องพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้
    มีความมุ่งมั่นในการรักษาสุขภาพให้ดี และสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินยาอย่างเคร่งครัด


8
หลังจากการจัดฟันเด็ก ต้องสวมใส่รีเทนเนอร์หรือไม่

ผู้เข้ารับการจัดฟันหลายคน คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ภายหลังจากการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น นอกเหนือจากการดูแลตัวเองและการรรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม หรือละเลย นั่นก็คือ การสวมใส่รีเทนเนอร์ เพราะหลังจากการเข้ารับการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เข้ารับการจัดฟันทุกคนจะต้องจำเป็นต้องสวมใส่รีเทนเนอร์ ครอบทั้งฟันบนและฟันล่าง เพื่อป้องกันฟันเคลื่อนไปจากตำแหน่งที่ทำการจัดฟันไว้ ไม่ให้ฟันเคลื่อนผิดรูปผิดตำแหน่งอีก โดยในระยะแรก ทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่รีเทนเนอร์ตลอดทั้งวัน และสามารถถอดออกได้เฉพาะเวลารับประทานอาหารและตอนทำความสะอาดช่องปากและฟันเท่านั้น ระยะเวลาในการใส่รีเทนเนอร์ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์เป็นหลัก


ซึ่งอันนี้ถือเป้นอีกหนึ่งหน้าที่ของผู้เข้ารับการจัดฟันที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะไม่ต้องเข้ารับการจัดฟันซ้ำอีกรอบ เช่นเดียวกันในการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะมีข้อสงสัยในการสวมใส่รีเทนเนอร์ สำหรับการจัดฟันในเด็ก ว่า ภายหลังที่บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันเสร็จสิ้นแล้วนั้น จะต้องงสวมใส่รีเทนเนอร์เหมือนการจัดฟันในผู้ใหญ่หรือไม่ ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเรามีคำตอบและจะมาพูดถึงเรื่องของการสวมใส่รีเทนเนอร์ในการจัดฟันในเด็ก เพื่อเป็นแนวทางให้กับเด็กที่มีความต้องการที่จะเข้ารับการจัดฟัน และเป็นแนวทางให้พ่อแม่ผู้ปกครองคอยหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็กหลังจากการจัดฟันด้วย

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของสวมใส่รีเทนเนอร์ในเด็ก เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้าตัวเครื่องมือคงสภาพฟันหลังจากการจัดฟัน หรือที่เราเรียกว่า รีเทนเนอร์ นั่นเอง ซึ่งตัว รีเทนเนอร์นี้ เป็นเครื่องมือทางทันตกรรมที่มีความจำเป็นอย่างมาก หลังจากการดัดฟัน เพราะมีหน้าที่คงสภาพฟันให้อยู่เหมือนเดิม ไม่ให้ฟันเคลื่อนย้ายไปตำแหน่งอื่น หรือทำให้ฟันกลับมาล้มอีก จนต้องเข้ารับการจัดฟันใหม่ ซึ่งหากว่าผู้ที่ทำกาจัดฟันมาแล้ว ทันตแพทย์จะแนะนำตลอดว่าให้ใส่รีเทนเนอร์ และมีระเบียบ เพราะหากว่าจัดฟันมาใหม่ๆแล้วไม่ใส่รีเทนเนอร์ ก็อาจจะส่งผลให้ฟันล้ม ฟันเกได้ ซึ่งถ้าหากเกิดปัญหานี้ขึ้น ก็จะทำให้ต้องเริ่มจัดฟันใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้เสียเวลา เสียเงินรอบสองได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว รูปแบบของรีเทนเนอร์ จะมีด้วยกัน 2 แบบ นั่นคือ แบบใส และ แบบลวด โดยทั้งสองแบบนี้จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป แต่รีเทนเนอร์สำหรับการจัดฟันในเด็ก

ส่วนใหญ่จะใช้เป็นรีเทนเนอร์แบบลวด ข้อดีของรีเทนเนอร์แบบลวดก็คือ มีความคงทน สามารถทำความสะอาดได้ง่าย และสามารถให้ทันตแพทย์ปรับระดับความกระชับหากว่าใส่แล้วเกิดความไม่สบายได้ตลอด โดยไม่ต้องทำใหม่ โดยตัวรีเทนเนอร์แบบลวดจะทำมาจากอะคริลิก ที่ทำออกมาให้พอดีกับช่องปากของแต่ละคน โดยมีการทำงานก็คือ ทำให้ฟันไม่เคลื่อนที่ ไม่ล้ม ไม่เก โดยระยะเวลาในการใส่นั้นจะขึ้นอยู่กับที่ทันตแพทย์เห็นว่าเหมาะสม ซึ่งรีเทนเนอร์ในการจัดฟันในเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ไม่ควรละเลยในการสวมใส่รีเทนเนอร์ ถึงแม้ว่า ในวัยเด็กอาจจะมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารจุกจิก จนบางครั้งอาจจะทำให้เผลอสวมใส่รีเทนเนอร์ขณะรับประทานอาหาร ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตและคอยเตือนให้บุตรหลานของท่านถอดรีเทนเนอร์ก่อนการรับประทานอาหาร และควรเน้นย้ำให้สวมใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำและต้องทำการจัดฟันใหม่

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจฟันหรือจะเป็นการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีก็จะช่วยทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตามไปด้วย


รวมไปถึงช่วยเสริมสร้างให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี หากบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษากับทางคลินิกบุตรหลานของท่านจะมีฟันที่สวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน และถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้เด็กมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวสุขภาพช่องปากและฟัน ควรพาลูกหลานมาตรวจและทำฟันตั้งแต่ตอนที่เด็กยังไม่มีฟันผุหรือปวดฟัน เพราะจะทำให้เด็กไม่กลัวการทำฟันหรือกลัวทันตแพทย์ และยังเป็นโอกาสดีในการรับคำแนะนำจากทันตแพทย์ในเรื่องของวิธีการดูแลสุขภาพฟันที่ถูกต้องด้วย

9
บริการทำความสะอาด: วิธีทำความสะอาดบ้าน ทำเองได้ไม่ยาก เปลี่ยนบ้านให้เป็นที่ผ่อนคลาย

รู้หรือไม่? บ้านกับสุขภาพจิตของผู้อยู่อาศัยสัมพันธ์กันมากกว่าที่คิด โดยบ้านที่รกและสกปรกจะพลอยทำให้จิตใจของผู้อยู่อาศัยขุ่นมัวตามไปด้วย ในขณะที่บ้านที่สะอาดและปลอดโปร่ง จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสดชื่นและผ่อนคลาย พร้อมกับได้รับการพักผ่อนทางจิตใจอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นจึงอยากมาแบ่งปัน 12 วิธี ทำความสะอาดบ้านให้น่าอยู่และสามารถทำเองได้ไม่ยาก!

1.เริ่มจากบนลงล่าง

การทำความสะอาดบ้านควรเริ่มจากที่สูงก่อน เช่น เพดาน ราวแขวนผ้าม่าน และชั้นวางสูงๆ เป็นต้น เพราะหากทำด้านล่างก่อน อาจมีเศษฝุ่นปลิวลงมาขณะที่ทำความสะอาดด้านบน จนทำให้ต้องวนกลับมาทำความสะอาดด้านล่างซ้ำ

2.ปัดฝุ่นจากโต๊ะและตู้ลงพื้น

การปัดฝุ่นบนโต๊ะและตู้ลงพื้นจะช่วยให้ฝุ่นไปอยู่รวมกันที่พื้น และสามารถกวาดหรือดูดฝุ่นจากพื้นได้ในคราวเดียว

3.อย่าลืมล้างมุ้งลวด

หากที่บ้านของใครมีการติดตั้งมุ้งลวด อย่าลืมถอดมุ้งลวดออกมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนนำกลับมาติดตั้งใหม่ เพราะมุ้งลวดเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีการสะสมของฝุ่นเยอะ

4.ควรทำความสะอาดให้เสร็จเป็นห้องๆ

การทำความสะอาดห้องแต่ละห้องภายในบ้านมีการใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น การทำความสะอาดห้องนอน ต้องใช้ไม้กวาดและไม้ถูพื้นเป็นหลัก ในขณะที่การทำความสะอาดห้องน้ำ ต้องใช้แปรงสำหรับขัดพื้นและสุขภัณฑ์ ฉะนั้นจึงควรทำความสะอาดเป็นห้องๆ ไป เพื่อความสะดวกในการใช้อุปกรณ์

5.ถอดผ้าม่านไปซัก

ผ้าม่านเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีการสะสมของฝุ่นเยอะ ดังนั้นควรถอดผ้าม่านไปซัก เพื่อสุขอนามัยที่ดี แต่ในกรณีที่ผ้าม่านเป็นแบบที่ไม่สามารถถอดเองได้ อาจใช้เครื่องดูดฝุ่นมาดูดฝุ่นที่ผ้าม่านแทนก่อนได้

6.ทำความสะอาดพรมเช็ดเท้า

พรมเช็ดเท้าถือเป็นแหล่งสะสมของทั้งฝุ่นและเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ หากพรมเช็ดเท้ามีขนาดไม่ใหญ่มาก ให้ซักแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง ก่อนจะนำกลับมาใช้ หรือในกรณีที่พรมเช็ดเท้ามีขนาดใหญ่มาก ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นแดดแทนได้ และนำไปตากแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรค

7.ผ้าปูที่นอนต้องสะอาดอยู่เสมอ

แม้จะไม่มีรอยเปื้อน แต่ในความจริงแล้ว ผ้าปูที่นอนเป็นแหล่งอาศัยชั้นเยี่ยมของไรฝุ่น ซึ่งมักก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ และในบางครั้งยังก่อให้เกิดสิวตามร่างกายได้ด้วย ผ้าปูที่นอนจึงควรเปลี่ยนใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

8.อย่ามองข้ามของชิ้นเล็ก

นอกจากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ของใช้หรือของแต่งบ้านชิ้นเล็ก ๆ ก็สามารถสะสมฝุ่นได้เช่นกัน เช่น ตุ๊กตา แจกัน และรีโมต เป็นต้น

9.ห้องครัวและตู้เย็น

ห้องครัวเป็นห้องที่ทำความสะอาดค่อนข้างยาก เพราะมักมีคราบเปื้อนของซอสและน้ำมัน ซึ่งหากได้รับการสะสมไว้นาน ๆ คราบเหล่านั้นจะเหนียวและเช็ดออกได้ยาก จึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ช่วยขจัดคราบเหนียวและฝังแน่นได้ แต่ทางที่ดีคือ ให้ทำความสะอาดจุดที่เปื้อนคราบเหล่านั้นทันที

ส่วนตู้เย็นสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการถอดชิ้นส่วนชั้นต่าง ๆ ในตู้เย็นออกมาล้างน้ำสะอาด แล้วผึ่งแดดให้แห้ง ก่อนจะนำกลับไปประกอบคืนที่เดิม ซึ่งการล้างตู้เย็นจะช่วยให้เจ้าของบ้านได้จัดวัตถุดิบในตู้เย็นไปในตัว ทำให้สะดวกขึ้นเมื่อเปิดหาวัตถุดิบมาประกอบอาหาร นอกจากนี้ ยังช่วยให้เห็นด้วยว่ามีอะไรที่เน่าเสียแล้วบ้าง เพื่อนำไปทิ้งได้ทันก่อนที่จะส่งกลิ่นเหม็น

10.หลอดไฟและโคมไฟ

หลอดไฟและโคมไฟมักเป็นจุดที่ถูกลืมทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง โดยสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการใช้กระดาษทิชชูแห้งหรือผ้าสะอาดแห้งมาเช็ดฝุ่นให้ออกไป

11.อุปกรณ์ทำความสะอาด

หลังจากใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านแล้ว ควรทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านั้นด้วย เพื่อให้สะอาดอยู่เสมอและสามารถใช้งานได้นาน เช่น ผ้าเช็ดพื้น ควรนำไปซักให้สะอาด แล้วนำไปตากแดด เป็นต้น

12.ตรวจเช็กบ้าน

อีกหนึ่งการดูแลบ้านที่ขาดไม่ได้ก็คือ การตรวจเช็กมุมต่างๆ ของบ้าน ซึ่งสามารถทำไปพร้อมกับการทำความสะอาดแต่ละจุดในบ้านได้ เช่น การตรวจรอยรั่วของท่อ ตรวจรอยร้าวบนผนัง และตรวจสภาพบ้านว่ามีการทรุดตัวหรือไม่ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดบ้านในบางจุดอาจจะเป็นเรื่องยากหรือใช้เวลามากเกินไปสำหรับเจ้าของบ้าน เช่น การทำความสะอาดโซฟา การทำความสะอาดพรมขนาดใหญ่ หรือการทำความสะอาดฟูกขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันมีบริษัทรับทําความสะอาดที่ตอบโจทย์เจ้าของบ้านกลุ่มนี้อยู่ รวมไปถึงกลุ่มเจ้าของบ้านที่ยุ่งเกินกว่าจะทำความสะอาดบ้านด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีบริการรับทำความสะอาดบ้านที่มาพร้อมกับบริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคด้วย ซึ่งเป็นบริการที่เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงการระบาดของเชื้อโควิด-19

10
หมอประจำบ้าน: หลอดเลือดแดงขาตีบ (Peripheral artery disease/PAD)

หลอดเลือดแดงขาตีบ (Peripheral artery disease/PAD)* ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis)

โรคนี้ส่วนใหญ่จะเริ่มพบได้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และยิ่งมีอายุมากขึ้นก็ยิ่งพบได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่สูบบุหรี่ มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคนี้

นอกจากนั้นอาจพบในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะอ้วน

มักพบร่วมกับโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดแดงตีบอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง ไตวายเรื้อรัง ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (องคชาตไม่แข็งตัว) เป็นต้น

*Peripheral artery disease/Peripheral arterial disease/PAD ซึ่งแปลว่า หลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบนั้น หมายถึง หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนหรือขาเกิดการตีบแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงแขนหรือขาไม่ได้
ภาวะนี้มักเกิดที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขา เรียกว่า "หลอดเลือดแดงขาตีบ"
ในบทนี้จึงขอกล่าวถึงเฉพาะเรื่อง "หลอดเลือดแดงขาตีบ"

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งจากการมีตะกรันไขมันเกาะที่ภายในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบลง เลือดไปเลี้ยงขาและปลายเท้าได้น้อยลง

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงขาแข็งและตีบที่สำคัญ ได้แก่ เบาหวาน การสูบบุหรี่ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ได้แก่ อายุ (มากกว่า 50 ปี) ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ ภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กก./ตร.ม.) ภาวะโฮโมซีสตีนในเลือดสูง (hyperhomocysteinemia) โรคไตเรื้อรัง มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (อัมพฤกษ์ อัมพาต)

โรคนี้ส่วนน้อยอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การฉายรังสี การบาดเจ็บที่ขา การอักเสบของหลอดเลือดแดงขา (ซึ่งอาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของ โรคหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ) เป็นต้น

นอกจากนี้ อาจเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่ขา เช่น กลุ่มอาการหลอดเลือดแดงขาพับถูกกดทับ (popliteal entrapment syndrome) ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นกดทับถูกหลอดเลือดแดงที่บริเวณขาพับ ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ค่อนข้างน้อย และพบได้ในคนอายุน้อยหรือวัยหนุ่มสาว

อาการ

ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดแดงขาตีบในระยะแรกอาจไม่มีอาการ ซึ่งตรวจพบได้จากการตรวจเช็กสุขภาพจากแพทย์

ผู้ป่วยจะแสดงอาการเมื่อมีการตีบของหลอดเลือด เกินร้อยละ 50

อาการเริ่มแรกที่พบบ่อย คือ ขาข้างที่ผิดปกติมีอาการปวดเวลาเดินไปได้สักพักหนึ่ง หรือเวลาเดินขึ้นบันได มักมีอาการปวดหน่วง ๆ ที่น่อง บางคนอาจปวดที่ต้นขาหรือสะโพกร่วมด้วย (ซึ่งขึ้นกับตำแหน่งที่ตีบตันของหลอดเลือด) อาการอาจเกิดที่ขาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างก็ได้

อาการปวดจะทุเลาได้เองเมื่อผู้ป่วยหยุดพักการเดินสัก 2-3 นาที แต่เมื่อเดินต่อสักพักก็จะกำเริบอีก หากยังฝืนเดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะปวดมากขึ้น จนอาจเดินขาลาก ทำให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องหยุดเดิน

ทั้งนี้เนื่องจากการเดิน กล้ามเนื้อขาต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้นจากขณะพัก (ไม่ได้เดิน) แต่เพราะหลอดเลือดแดงขาตีบ เลือดจึงไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขาได้พอกับความต้องการ เราเรียกอาการปวดขาในลักษณะนี้ว่า "อาการปวดขาเป็นระยะเพราะขาดเลือด (intermittent claudication)"

บางคนอาจไม่มีอาการปวดขาเป็นระยะดังกล่าว แต่อาจมีเพียงอาการหนักขา ขาไม่มีแรงหรือขาอ่อน ทำให้คิดว่าเป็นเพียงอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการเดิน หรือจากอายุที่มากขึ้น

บางรายอาจมีอาการเป็นตะคริวที่น่องบ่อย ซึ่งอาจเกิดขึ้นแม้แต่ในช่วงเข้านอนตอนกลางคืน

เมื่อหลอดเลือดแดงขาตีบมากขึ้น ก็จะมีอาการปวดขามากขึ้น เดินได้ระยะสั้นกว่าเดิมก็จะมีอาการปวด ทำให้ผู้ป่วยเดินได้ช้าลง หรือเดินไกลไม่ได้ มีผลทำให้ดำเนินชีวิตได้ไม่ปกติ หรือเล่นกีฬาที่ต้องเดินไม่ได้

หากปล่อยไว้จนมีการตีบของหลอดเลือดที่รุนแรง ก็จะมีอาการปวดขา แม้อยู่เฉย ๆ หรือเวลานอนราบหรือยกเท้าสูง อาจเป็นมากถึงขั้นนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ตามมา ได้แก่ ขาข้างที่เป็นมีอาการชาหรืออ่อนแรง ซีดกว่าปกติ หรือมีสีผิวเปลี่ยนไป คลำดูขาข้างที่เป็นรู้สึกเย็นกว่าปกติ ผิวหนังที่บริเวณขาดูมันวาวกว่าปกติ ขนและเล็บงอกช้ากว่าขาข้างที่ปกติ เกิดแผลที่ปลายเท้าเรื้อรังและหายยาก กล้ามเนื้อขาลีบลงกว่าปกติ ชีพจรที่ขาและเท้าของขาข้างที่เป็นคลำได้เบาหรือไม่ได้

ผู้ชายบางคนอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (องคชาตไม่แข็งตัว) ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบบ่อยคือ การเป็นแผลเรื้อรังที่ขา อาจเกิดการติดเชื้อ และกลายเป็นเนื้อตายเน่า (gangrene) ซึ่งอาจจำเป็นต้องตัดนิ้วเท้าหรือข้อเท้า เกิดความพิการได้ มักพบในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง

ผู้ป่วยมักมีภาวะหลอดเลือดแดงตีบที่อวัยวะอื่นร่วมด้วย หากปล่อยไว้ก็อาจเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา ที่สำคัญ ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (พบได้ประมาณร้อยละ 30-50 ของผู้ที่เป็นหลอดเลือดแดงขาตีบ) โรคหลอดเลือดสมอง (พบได้ประมาณร้อยละ 15-25 ของผู้ที่เป็นหลอดเลือดแดงขาตีบ) หลอดเลือดแดงไตตีบ (renal artery stenosis) ไตวายเรื้อรัง

ในรายที่มีการตีบของหลอดเลือดแดงขาที่รุนแรง อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงขาแทรกซ้อนอย่างเฉียบพลัน ทำให้ขาเกิดภาวะขาดเลือดอย่างรุนแรง เกิดภาวะที่เรียกว่า "Acute limb ischemia (ALI)" ขาข้างที่เป็นจะมีอาการปวด (ขณะพักอยู่เฉย ๆ) ซีด เย็น ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง และชีพจรเบา ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล และมีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการจากการตัดขา หรือการเสียชีวิต


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการและสิ่งตรวจพบ ได้แก่ การคลำชีพจรที่เท้าพบว่าเบาหรือคลำไม่ได้ เท้าซีดและเย็นกว่าปกติ กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง กล้ามเนื้อขาลีบลงกว่าปกติ แผลเรื้อรังที่เท้า

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจพิเศษ เช่น ทำการทดสอบด้วยการวัดความดันโลหิตที่เท้าเทียบกับที่ต้นแขน ดังที่เรียกว่า "Ankle-Brachial Index (ABI) Test" ซึ่งมักพบว่าความดันโลหิตที่เท้ามีค่าต่ำกว่าที่ต้นแขน (ค่า ABI < 0.90) มีค่ายิ่งต่ำ แสดงว่าโรคยิ่งรุนแรง, การตรวจวัดการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดแดงขาด้วยอัลตราซาวนด์ (Doppler ultrasound), การถ่ายภาพหลอดเลือด (angiography) ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, การตรวจเลือด (ดูระดับน้ำตาล ไขมัน) เป็นต้น

ในรายที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคไตเรื้อรัง เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้ยารักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง), ให้ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน, โคลพิโดเกรล (clopidogrel) ป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดจับเป็นลิ่มอุดตันหลอดเลือด, ให้ยาเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงขา (เช่น cilostazol ลดอาการปวดขาเป็นระยะเพราะขาดเลือด ช่วยให้เดินได้ระยะไกลขึ้น) เป็นต้น

นอกจากนี้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรม เช่น งดบุหรี่, ลดอาหารหวาน มัน เค็ม, ลดน้ำหนัก, ผ่อนคลายความเครียด, ออกกำลังกาย

แพทย์อาจแนะนำให้ออกกำลังด้วยการเดินวันละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน เดินด้วยความเร็วตามปกติ เมื่อสังเกตว่าเริ่มมีอาการปวดขาให้หยุดเดิน เมื่อรู้สึกทุเลาปวดให้เดินต่อ เดิน ๆ หยุด ๆ สลับกันจนครบ 30-45 นาที การเดินช่วยให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงขาได้มากขึ้น ทำให้เดินได้ไกลขึ้น

หากการรักษาข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจทำการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การผ่าตัดบายพาส (โดยใช้หลอดดำของผู้ป่วยเอง หรือหลอดเลือดเทียม), การทำบัลลูนและใส่หลอดเลือดตาข่าย (stent) ค้ำยันภายในหลอดเลือด, การฉีดยาละลายลิ่มเลือดเข้าไปในหลอดเลือดตรงจุดที่มีลิ่มเลือดอุดตัน

ผลการรักษา หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ก่อนมีอาการแสดง และไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองร่วมด้วยอย่างต่อเนื่อง มักได้ผลดี

แต่ถ้าได้รับการรักษาในระยะที่มีอาการ ผลการรักษาขึ้นกับสภาพของผู้ป่วย ในรายที่มีหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบร่วมด้วย ก็อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการหรือการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดขาเวลาเดินหรือขึ้นบันได เป็นตะคริวที่น่องบ่อย ปวดขาตอนนอนราบหรือตอนกลางคืน ขามีลักษณะซีด เย็น กล้ามเนื้อขาลีบหรืออ่อนแรง หรือคลำชีพจรที่เท้ามีลักษณะเบาหรือคลำไม่ได้ มีแผลเรื้อรังที่ขา เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

นอกจากนี้ เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบในระยะแรกมักจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ดังนั้น ผู้ที่สบายดี ไม่มีอาการปวดขาและอาการอื่นใด ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจกรองโรคนี้ ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอายุมากกว่า 65 ปี
    มีอายุมากกว่า 50 ปี ซึ่งป่วยเป็นเบาหวาน หรือสูบบุหรี่
    มีอายุน้อยกว่า 50  ปี ซึ่งป่วยเป็นเบาหวาน และมีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นต้น

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ข้อปฏิบัติตัว ที่สำคัญ ได้แก่ 

    งดบุหรี่
    ลดอาหารหวาน มัน เค็ม กินผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว เต้าหู้ ปลาให้มาก ๆ
    ลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักเกิน
    ผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกาย ด้วยการเดินให้มาก ๆ ตามวิธีที่แพทย์แนะนำ วันละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การรักษา" ด้านบน)
    หมั่นดูแลเท้าไม่ไห้เกิดแผล (เช่น ระมัดระวังในการตัดเล็บ สวมใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้า ระวังไม่ให้ถูกของมีคมบาด) เพราะหายยากเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง
    หลีกเลียงการซื้อยามาใช้เอง เนื่องเพราะยาบางชนิด เช่น กลุ่มสูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) ซึ่งนิยมใช้รักษาโรคหวัด คัดจมูก โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ อาจทำให้หลอดเลือดตีบมากขึ้น ปวดขามากขึ้นได้


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดขามากขึ้น
    ขามีลักษณะซีด เย็น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา หรือเป็นแผลเรื้อรัง
    มีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือแขนขาซีกหนึ่งมีอาการชาหรืออ่อนแรง
    ขาดยาหรือยาหาย
    สงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์ให้กิน เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ใจสั่น ท้องเดิน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

    ไม่สูบบุหรี่
    รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    ลดอาหารมัน หวาน เค็ม กินผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว เต้าหู้ ปลาให้มาก ๆ
    ถ้าเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ควรดูแลรักษาให้สามารถควบคุมโรคได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

1. ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบจะรู้สึกสบายดี ไม่มีอาการปวดขาและอาการผิดปกติอื่นใด จะมีอาการปวดขาเมื่อหลอดเลือดตีบมากแล้ว และอาจมีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบแฝงอยู่ร่วมด้วย (โดยไม่มีอาการ) ดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ ถึงแม้สบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจกรองโรค และรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. โรคนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "สาเหตุ" ด้านบน) ที่สำคัญ ได้แก่ การเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ การสูบบุหรี่ การมีอายุมาก ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และป่วยเป็นโรคเบาหวาน ร่วมกับการสูบบุหรี่ หรือความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากขึ้น ดังนั้น ควรป้องกันการเกิดโรคนี้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงให้มากที่สุด (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านบน)

3. โรคนี้มีความรุนแรงค่อนข้างมาก เนื่องเพราะมักตรวจพบเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดขาแล้ว และขามักมีภาวะขาดเลือดเรื้อรังมานาน มักทำให้เกิดแผลเรื้อรัง ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ถึงขั้นต้องตัดขา นอกจากนี้ อาจพบโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบร่วมด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุของความพิการหรือการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้

4. ผู้ที่มีอาการปวดขาหรือเป็นตะคริวบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง อย่าชะล่าใจว่าเป็นเพียงอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือไม่เป็นอะไรมาก แต่ควรไปปรึกษาแพทย์เพี่อตรวจให้แน่ใจว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบหรือไม่

11
บ้านติดรถไฟฟ้า โกลเด้น ทาวน์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 (Golden Town Suksawat - Rama 3)
เริ่มต้น 2.99 ลบ.

โกลเด้น ทาวน์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 (Golden Town Suksawat - Rama 3)
ทาวน์โฮมโครงการใหม่ครั้งแรก!! ย่านสุขสวัสดิ์ - พระราม 3 ใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วน 4 ห้องนอน อลังการสโมสรและโรงภาพยนตร์ส่วนตัว

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ          โกลเด้น ทาวน์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 (Golden Town Suksawat - Rama 3)
 เจ้าของโครงการ     เฟรเซอร์ส
 แบรนด์ย่อย          โกลเด้น ทาวน์
 ราคา                  เริ่มต้น 2.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน       ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล      บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด   3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย        ตั้งแต่ 96 ถึง 117 ตร.ม.
 จำนวนชั้น          2 ชั้น
 หน้ากว้าง          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน    ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ    ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค      สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สนามเทนนิส, รปภ., CCTV, Keycard System

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน           คลองสาน, เจริญนคร, รัชดา-ท่าพระ, เพชรเกษม
 ที่ตั้ง          188 ซอยสุขสวัสดิ์ 26 แยก 9 แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ จ.กรุงเทพฯ 10140

 ขนส่งสาธารณะ          ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(เตาปูน - ราษฏร์บูรณะ)(บางปะกอก)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
เซ็นทรัล พระราม 2
โฮมโปร พระราม 2
โรงเรียนสารสาสน์สุขสวัสดิ์
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี
โรงพยาบาลบางปะกอก 9
โรงพยาบาลบางปะกอก 1

12
เคล็ดลับเลือกอาหารสําหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นกลุ่มคนที่ต้องใส่ใจเรื่องอาหารมากเป็นพิเศษ โดยจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการของโรค ซึ่งการเลือกอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานนั้นอาจไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องรู้พื้นฐานในการเลือกที่เหมาะสม

นอกจากอาการของโรคเบาหวานแล้ว ภาวะแทรกซ้อนจากโรคนี้ก็เป็นสิ่งที่อันตรายไม่แพ้กัน ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรควบคุมปริมาณสารอาหารที่ได้รับอย่างเหมาะสม ในบทความนี้ได้รวบรวมเคล็ดลับง่าย ๆ ในการเลือกอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน เพื่อช่วยให้รับประทานอาหารได้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน เลือกอย่างไร?

หลายคนอาจคิดว่าโรคเบาหวานต้องควบคุมน้ำตาลเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนเป็นเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมสารอาหารอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่อาจเกิดตามมา โดยวิธีเลือกอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานสามารถทำได้ ดังนี้


1. อ่านฉลากโภชนาการของอาหารและผลิตภัณฑ์เสมอ

การอ่านฉลากโภชนาการของผลิตภัณฑ์เป็นขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คนที่เป็นเบาหวานใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น โดยสิ่งที่ควรสังเกตหลัก ๆ เลยก็คือปริมาณของคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งและน้ำตาลในอาหารชนิดนั้น โดยปริมาณที่เหมาะสมอาจแตกต่างไปในแต่ละคน ซึ่งแพทย์จะช่วยแนะนำปริมาณสารอาหารที่ปลอดภัยให้ นอกจากคาร์โบไฮเดรตแล้ว ควรสังเกตสารอาหารหรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ ว่าอยู่ในระดับที่ไม่มากจนเกินไป อย่างปริมาณโซเดียม ไขมัน และพลังงาน เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีความเสี่ยงจากของโรคบางโรคสูงกว่าคนทั่วไป

อีกสิ่งที่สำคัญในการอ่านฉลาก คือ หน่วยบริโภค (Serving Size) ซึ่งเป็นตัวกำหนดสารอาหารที่อยู่ในฉลากโภชนาต่อการรับประทานหนึ่งครั้ง โดยหน่วยบริโภคจะช่วยให้แบ่งการรับประทานได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ อย่างโปรตีน ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย


2. ทำความเข้าใจกับอาหารปราศจากน้ำตาล

ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลต่ำและไม่มีน้ำตาลเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนเป็นเบาหวาน แต่ผลิตภัณฑ์บางยี่ห้ออาจระบุน้ำตาลในชื่อหรือสารอื่น อย่างแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตแทน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Sweetener) ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักอ้างว่าเป็นสารที่ไม่ให้พลังงาน แต่ความเป็นจริงแล้ว สารเหล่านี้อาจให้พลังงานต่อร่างกายอยู่ เพียงให้ในปริมาณที่เล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ หลายคนอาจเข้าใจผิดหรือสับสนเกี่ยวกับอาหารน้ำตาลต่ำหรือไม่มีน้ำตาล คนที่เป็นเบาหวานจึงควรศึกษารูปแบบหรือชนิดของน้ำตาล เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำตาลและพลังงานในปริมาณที่เหมาะสม


3. รู้จักกับอาหาร GI ต่ำ

GI ย่อมาจาก Glycymic Index หรือดัชนีน้ำตาล เป็นค่าประมาณระดับความเร็วในการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลเลือดภายหลังการรับประทานอาหารแต่ละชนิด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ สูง กลาง และต่ำ โดยอาหารแต่ละชนิดจะมีค่า GI ที่แตกต่างกัน หากเป็นอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานควรเป็นอาหารที่มีค่า GI ต่ำ เพื่อช่วยให้ระดับน้ำตาลค่อย ๆ เพิ่มขึ้นหลังจากการรับประทานอาหาร ซึ่งอาจช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจนก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคนี้

โดยตัวอย่างอาหาร GI ต่ำ เช่น แอปเปิ้ล มันหวานต้ม ถั่วลิสง น้ำมะกอก ข้าวกล้อง สตรอว์เบอร์รี  ชมพู่ แก้วมังกร มะเขือเทศ บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ นม โยเกิร์ต นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ค่า GI ของอาหารอาจเปลี่ยนแปลงตามแหล่งที่มา ขั้นตอนในการปรุง รวมไปถึงระดับความสุกของผักผลไม้ เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มเลือกรับประทานอาหารจากค่าดัชนีน้ำตาล


4. เลือกไขมันดี

แม้ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวนไม่น้อยมักมีโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินร่วมด้วย แต่ร่างกายก็ยังคงต้องการไขมันในสร้างพลังงาน แต่ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดี เนื่องจากไขมันดีเป็นกรดไขมันที่ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลภายในร่างกายและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคและภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้

ไขมันดีหรือไขมันอิ่มตัวสามารถหาได้จากปลาทะเล อย่างปลาแซลมอน อาหารทะเล อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็งบางชนิด น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันมะกอก ในตรงกันข้าม คนเป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงไขมันที่เป็นอันตราย อย่างไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ (Trans Fat) ที่ส่วนใหญ่มักเป็นไขมันจากสัตว์ เช่น เนื้อติดมัน เนื้อติดหนัง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ของทอด ขนมขบเคี้ยว และขนมเบเกอรี่ เป็นต้น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์และอาหารบางชนิดอ้างว่าปราศจากไขมัน แต่ในความจริงอาจมีไขมันเป็นส่วนประกอบในปริมาณเล็กน้อย และบางยี่ห้อก็อาจมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบด้วย


5. เลือกอาหารไฟเบอร์สูง

ไฟเบอร์หรือใยอาหารไม่เพียงดีต่อระบบขับถ่ายและสุขภาพลำไส้เท่านั้น แต่ยังเป็นสารอาหารที่คนเป็นเบาหวานควรได้รับอย่างเหมาะสมอยู่เป็นประจำ เพราะไฟเบอร์มีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันภายในร่างกาย จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองที่มักพบว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับไขมันในเลือดสูง

โดยแหล่งของไฟเบอร์ที่หาได้ง่ายคือผักและผลไม้ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่น อย่างวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม ผักประเภทหัวและผลไม้บางชนิดมีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง คนเป็นโรคเบาหวานจึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม


6. รับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

คาร์โบไฮเดรตประกอบไปด้วยแป้งและน้ำตาล จัดเป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานต่อร่างกาย โดยสามารถแบ่งได้เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbohydrate) และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrate)

ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะคาร์โบไฮเดรตชนิดนี้ย่อยช้า ช่วยให้อิ่มท้องได้นานกว่าเชิงเดี่ยว มีปริมาณใยอาหารสูง อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมหลังรับประทานอาหาร ซึ่งตัวอย่างอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวโพด ข้าวกล้อง มันฝรั่ง ถั่วดำ และธัญพืชขัดสีน้อย เป็นต้น


7. หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป

อาหารสำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก แฮม ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารประเภทที่ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน เพราะมักมีโซเดียมในปริมาณค่อนข้างสูง แต่อาหารที่เป็นเบาหวานควรเลือกรับประทานคืออาหารที่ปรุงสุกใหม่ มีรสชาติที่ไม่จัดจนเกินไป มีส่วนประกอบของสารอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมต่อภาวะของโรค เพื่อหลีกเลี่ยงอาการและภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

อย่างไรก็ตาม วิธีเลือกอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางที่อาจช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถรับประทานอาหารได้หลากหลายขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัย ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นหลัก

นอกจากการเลือกอาหารให้เหมาะสมแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้คนที่เป็นโรคเบาหวานออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนัก และปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น



13
mobile expo: เสียวหมี่วางจำหน่ายอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะรุ่นใหม่ Xiaomi Smart Band 9 Redmi Watch 5 Active และ Redmi Watch 5 Lite

เสียวหมี่ ประเทศไทย ประกาศวางจำหน่าย Xiaomi Smart Band 9 สมาร์ทแบนด์ภายใต้คอนเซ็ปต์ Your style, your pace ในราคา 1,190 บาท ทั้งยังวางจำหน่ายนาฬิกาอัจฉริยะ Redmi Watch 5 Active ในราคา 999 บาท และ Redmi Watch 5 Lite ในราคา 1,650 บาท นอกจากนี้ เสียวหมี่ ประเทศไทย ยังเตรียมดีลพิเศษอีกมากมายเพื่อต้อนรับเทศกาล 9.9 ในวันที่ 9 เดือน 9 สำหรับการซื้อผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่บนช่องทางออนไลน์ที่ mi.com Lazada และ Shopee อีกด้วย

Xiaomi Smart Band 9 มาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.62 นิ้วสุดคมชัดที่สามารถให้ความสว่างสูงสุดเพิ่มขึ้น 50%2 ซึ่งสูงถึง 1,200 นิต จึงทำให้คุณสามารถใช้งานหน้าจอได้อย่างชัดเจนแม้จะใช้งานกลางแจ้งที่มีแดดจ้า ตัวอุปกรณ์ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 233mAh และยังรองรับโหมดกีฬามากกว่า 150 โหมด ซึ่งมีฟีเจอร์พิเศษสำหรับการวิ่งและการปั่นจักรยานรวมเส้นทางการวิ่งกว่า 10 เส้นทาง ทั้งยังมีการวัดค่าต่างๆเช่น VO₂ max รวมไปถึงระยะเวลาการพัก ซึ่งคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้นั้นถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
Xiaomi Smart Band 9 โดดเด่นด้วยดีไซน์ของตัวเรือนและสายที่เพรียวบาง แต่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์เพื่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ดีกว่าเดิมถึง 16%2 การติดตามอัตราการเต้นของหัวใจและ SpO₂ ตลอดทั้งวัน รวมถึงการติดตามอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักผ่อนตลอดทั้ง 7 วัน1 พร้อมทั้งทราบถึงระดับความเครียดเพื่อช่วยจัดการสุขภาพในแต่ละวันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมการติดตามการนอนหลับที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการนอนหลับของคุณหลังจากสวมใส่เป็นเวลา 7 คืน โดยรายงานนี้จะครอบคลุมทั้งด้านตารางการนอน ความต่อเนื่องของการนอนหลับ การงีบหลับ ความเครียดตลอดทั้งวัน การออกกำลังกายก่อนนอน พร้อมให้คำแนะนำส่วนบุคคลเพื่อคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น1 อีกด้วย

Xiaomi Smart Band 9 วางจำหน่ายในราคา 1,190 บาท

Redmi Watch 5 Active และ Redmi Watch 5 Lite
Redmi Watch 5 Active มาพร้อมหน้าจอ LCD ความคมชัดสูงขนาดใหญ่พิเศษขนาด 2 นิ้ว ความละเอียด 320×385 พิกเซล พร้อมสัดส่วนหน้าจอต่อเครื่องอยู่ที่ 71.4% ซึ่งช่วยเพิ่มสัดส่วนการมองเห็นของหน้าจอเพิ่มขึ้นถึง 18% ในขณะที่ Redmi Watch 5 Lite นั้นมาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่พิเศษขนาด 1.96 นิ้ว ความละเอียด 410×502 พิกเซล พร้อมสัดส่วนหน้าจอต่อเครื่องอยู่ที่ 75.6% และฟังก์ชัน Always-on Display (AOD) ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น และยังรองรับการโทรสนทนาผ่านบลูทูธที่มาพร้อมไมค์สองตัวที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างทำให้การโทรของคุณนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มระยะการสนทนาให้ไกลขึ้นอีก 80 ซม. ซึ่งไกลกว่าเดิมถึง 2.7 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานให้คุณมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ Redmi Watch 5 Active และ Redmi Watch 5 Lite ยังมาพร้อมฟีเจอร์การติดตามสุขภาพที่สำคัญหลายฟีเจอร์1 อาทิ การติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ, SpO₂, การนอนหลับและอื่นๆ อีกมากมาย และสามารถกันน้ำลึกได้ถึง 5ATM นอกจากนี้ Redmi Watch 5 Lite ยังมาพร้อม การรองรับ GNSS 5 ระบบ ที่ช่วยระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
Redmi Watch 5 Active วางจำหน่ายในราคา 999 บาทและ Redmi Watch 5 Lite วางจำหน่ายในราคา 1,650 บาท
นอกจากนี้ เสียวหมี่ ยังมาพร้อมโปรโมชันสุดพิเศษมากมายเพื่อต้อนรับเทศกาล 9.9 ในวันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ. 2567 ลูกค้าที่สนใจดีลสุดคุ้มเหล่านี้สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ mi.com Lazada และ Shopee
หมายเหตุ
1 ผลิตภัณฑ์นี้และคุณสมบัติต่างๆ ไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อคาดการณ์ วินิจฉัย ป้องกัน หรือรักษาโรคใดๆ
2 เมื่อเปรียบเทียบกับ Xiaomi Smart Band 8 ข้อมูลมาจากห้องปฏิบัติการภายในของเสียวหมี่ ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างกันไป

14
จัดฟันบางนา: ข้อเสียของสะพานฟัน

ปัญหาฟันผุ เป็นปัญหาที่หลายคนอาจจะเคยพบเจอ ซึ่งเกิดจากการรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดี โดยฟันผุนั้น คือการที่ผิวฟันเกิดเป็นจุดหรือรูโหว่ ซึ่งอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น คราบแบคทีเรียภายในช่องปาก หรือการที่ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม รับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นประจำ แล้วไม่รักษาความสะอาดของช่องปากแลฟันให้ดี และถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่ได้รับการรักษา อาการจะลามลึกลงไปถึงรากฟัน สร้างความเจ็บปวด เสี่ยงต่อการติดเชื้อและการเสียฟันซี่นั้นตลอดไป เรื่องของฟันผุ จึงเป็นปัญหาที่ควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรงที่เราไม่ควรจะมองข้าม


ถ้าหากเราสูญเสียฟันธรรมชาติไป ก็จะสามารถแก้ไขได้ยาก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีการรักษา เพราะการสูญเสียฟัน สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งหรือที่เรียกว่า การทำสะพานฟัน ซึ่งสะพานฟันนั้น เป็นการทำฟันปลอมชนิดติดแน่นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสะพานฟันจะอาศัยฟันธรรมชาติซี่ข้างเคียงเป็นหลักในการยึดติด ไม่สามารถถอดเข้าออกด้วยตัวเองได้ ต้องทำโดยทันตแพทย์เท่านั้น  การทำสะพานฟันจะทำในกรณีที่ฟันถูกถอนไป แต่ยังเหลือฟันธรรมชาติซี่ข้างเคียงที่แข็งแรงสามารถเป็นหลักยึดสะพานฟันได้ โดยจะช่วยทำให้ผู้เข้ารับการรักษา กลับมามีรอยยิ้มที่สวยงาม รู้สึกมั่นใจ ทั้งยังสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สูญเสียฟันไป ให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม

แต่การทำสะพานฟัน ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องศึกษารายละเอียด วิธีการดูแลรักษาความสะอาด รวมไปถึงขั้นตอนการรักษาให้ละเอียดเสียก่อน รวมไปถึงศึกษาข้อดีและข้อเสียว่า การทำสะพานฟันนั้น จะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร ภายหลังจากที่เข้ารับการรักษาด้วยการทำสะพานฟัน ครั้งที่แล้วทางคลินิก เราได้พูดถึงข้อดีของการทำสะพานเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับผู้ที่มีความต้องการจะทำสะพานฟัน และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดข้อเสียกันบ้างว่า การทำสะพานฟันมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อจำกัดต่างๆด้วย

สำหรับข้อเสียในการทำสะพานฟันนั้น ก็คือ อย่างแรกเลยคือจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง เนื่องจากการแก้ไขปัญหาการทดแทนฟันธรรมชาติ ด้วยการทำสะพานฟันเป็นการทำฟันปลอมชนิดติดแน่น จึงมีราคาแพงกว่าฟันปลอมทั่วไปที่สามารถถอดออกได้ และการติดสะพานฟันอาจส่งผลกระทบต่อฟันซี่ที่อยู่ข้างๆ ได้ เพราะฉะนั้น ก่อนการรักษาจะต้องปรึกษาทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก่อนที่จะทำการรักษา จะต้องมั่นใจว่ามีฟันบริเวณข้างเคียงที่แข็งแรง สามารถยึดติดสะพานฟันได้ ที่สำคัญมากที่สุดคือ ผู้เข้ารับการรักษาอาจต้องเอาใจใส่ในการทำความสะอาดช่องปากและฟันมากขึ้น เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีและป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดโรคฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สำหรับข้อจำกัดในเรื่องของการเข้ารับการรักษาด้วยการทำสะพานฟัน ก็จะสามารถทำได้ในผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพช่องปาก หากมีปัญหาเช่น โรคเหงือก จะไม่สามารถทำสะพานฟันได้ จนกว่าจะได้รับการรักษาโรคเหงือกให้หายเป็นปกติเสียก่อน นอกจากนี้ การทำสะพานฟัน มีความจำเป็นที่จะต้องกรอเนื้อฟันซี่ข้างเคียงออก เพื่อทำเป็นหลักยึดติดให้แก้สะพานฟัน  ทำให้สูญเสียเนื้อฟันซี่ที่ดีออกไป และสะพานฟันจะทำความสะอาดยากกว่าฟันธรรมชาติ เนื่องจากส่วนที่เป็น ลอยอยู่บนเหงือก จึงต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการทำความสะอาด เช่น การใช้ไหมขัดฟัน จะเพิ่มขึ้นตอนในการทำความสะอาดฟันมากกว่าปกติ และถ้าหากผู้เข้ารับการรักษาดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้


กรณีผู้ที่สูญเสียฟันไป แต่ไม่อยากเข่ารับการรักษาด้วยการทำสะพานฟัน สามารถเลือกวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมทดแทนได้ ซึ่งทางคลินิกของเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของรากฟันเทียม หากสนใจสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ ทั้งนี้ทางคลินิกเรายังมีโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับผู้ที่ต้องการจะแก้ไขปัญหาฟัน โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 39,900 บาท จากราคาปกติ 50,000 บาท เพื่อที่จะให้ผู้ที่มีปัญหาฟันได้กลับมามีฟันที่สวยง่ามเป็นธรรมชาติได้อีกครั้ง

15
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/

https://www.noisecontrol365.com/album/banner/436f7c471a7669f110977c234346e19e.jpg

16
ขายรถไมล์น้อย Mazda CX-30 2.0 SP พร้อมฟรี ประกันชั้น 1, ฟิล์มกรองแสงเซรามิค

มาสด้า Mazda CX-30 2.0 SP ปี 2022
MAZDA CX-30 รุ่น 2.0 SP มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 ลิตร มีดีไซน์ที่โดดเด่นเหนือระดับรวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับพรีเมี่ยม อาทิ หลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า, ระบบเสียง BOSE® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง , ระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง และระบบ i-Activsense มากถึง 11 ระบบ ยังคงเป็นรุ่นที่เน้นความสมบูรณ์แบบมอบความพรีเมี่ยมและความปลอดภัยเหนือกว่ารถในระดับเดียวกันมากที่สุด

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 1 ธ.ค. - 31 ธ.ค. 2567
ติดต่อผ่านเช็คราคารับส่วนลดเพิ่ม 20,000 บาท
พร้อมฟรี ประกันชั้น 1, ฟิล์มกรองแสงเซรามิค

ราคาพิเศษ 999,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์               Mazda
   รุ่น                    มาสด้า Mazda CX-30 2.0 SP ปี 2022
   ประเภทรถ           รถอเนกประสงค์ SUV
   ปีที่เปิดตัว           2022



17
งานมอเตอร์โชว์: M TOWN by MILLENNIUM AUTO อาณาจักรแห่งความแรงของรถยนต์ BMW สายพันธุ์ M

บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอาใจคนพันธุ์แรงและผู้ชื่นชอบรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M เปิดตัว M TOWN by MILLENNIUM AUTO อาณาจักรแห่งความแรง ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ให้เป็นผู้จำหน่ายยนตรกรรม บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M และ M Performance อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด บริเวณชั้น 3 โชว์รูม บีเอ็มดับเบิลยู มิลเลนเนียม ออโต้ สาขาพระรามที่ 4

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า "บีเอ็มดับเบิลยู M ได้รับการขนานนามว่าเป็นตัวอักษรที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นตัวแทนจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ต ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนโปรแกรมการแข่งขันรถยนต์ของ บีเอ็มดับเบิลยู มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 โดยปีนี้จะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี บีเอ็มดับเบิลยู M ซึ่งได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ที่โดดเด่นเหนือใคร เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จด้านมอเตอร์สปอร์ต และ เป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอความเป็น
บีเอ็มดับเบิลยู โดยในปี 2564 BMW M GmbH ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในเซกเมนต์รถยนต์สมรรถนะสูงเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ด้วยสถิติการส่งมอบรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู M กว่า 163,542 คัน ให้กับลูกค้าทั่วโลก หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 13%"

"ขณะเดียวกัน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็ยังครองแชมป์ในเซกเมนต์รถยนต์ พรีเมียม ด้วยยอดการจดทะเบียนรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู และ มินิ ที่พุ่งสูงขึ้น ครองส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 45.5% ในปี 2564 แน่นอนว่าความสำเร็จนี้ เกิดจากการสนับสนุนของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเรา รวมทั้งมิลเลนเนียม ออโต้ ที่เป็นหนึ่้งในพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ"

ดร. สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) เผยว่า "มิลเลนเนียม ออโต้ ให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์สุดพิเศษกับลูกค้ามาโดยตลอด และในครั้งนี้ เราภูมิใจนำเสนออาณาจักรแห่งความแรง กับยนตรกรรม บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M 'M TOWN by MILLENNIUM AUTO' ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 50 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเรามีฐานลูกค้า บีเอ็มดับเบิลยู M และ M Performance รวมกว่า 1,000 คัน มิลเลนเนียม ออโต้ มีความพร้อมทุกด้าน สำหรับการขายและให้บริการรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M ด้วยทีมขายที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและรายละเอียดของรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อยากเชิญชวนทุกท่าน เข้ามาชมโชว์รูมแห่งใหม่ของเรา ที่แบ่งโซนเฉพาะสำหรับรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M และ M Performance"

M TOWN by MILLENNIUM AUTO อาณาจักร BMW M POWER ครบวงจร
มิลเลนเนียม ออโต้ เปิดตัว M TOWN by MILLENNIUM AUTO อาณาจักรความแรงสำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M และ M Performance อาทิ บีเอ็มดับเบิลยู M2, M4, M5 และ M8 มั่นใจได้กับเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรทั่วประเทศ พร้อมเตรียมพบกับแฟลกชิปโชว์รูมแห่งใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู มิลเลนเนียม ออโต้ สาขาพัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ที่สามารถนำเสนอประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้ในช่วงกลางปีนี้

ยนตรกรรมสายพันธุ์ M เป็นรถยนต์สมรรถนะสูง ที่จำเป็นต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งฝ่ายบริการหลังขาย มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป มีศักยภาพและความพร้อมสำหรับการเซอร์วิส บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M ทุกรุ่น ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี กับศูนย์บริการครบวงจร ที่ได้มาตรฐาน มีการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือพิเศษ สำหรับเซอร์วิส บีเอ็มดับเบิลยู M โดยเฉพาะ

มีการบริหารจัดการอะไหล่อย่างเหมาะสม ลูกค้าสามารถนำรถ M เข้ารับบริการได้ที่
บีเอ็มดับเบิลยู มิลเลนเนียม ออโต้ ทุกสาขา พร้อมเพิ่มความมั่นใจ ด้วยทีมช่างมากประสบการณ์ 'M Certified Mechanics' ที่ผ่านการรับรองการให้บริการรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M โดย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่ต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ ความรู้ และทักษะ พร้อมผ่านการอบรมด้านเทคโนโลยีเครื่องยนต์รวมถึงระบบไฟฟ้า จากบริษัทผู้ผลิต และ มาสเตอร์ ออโตโมทีฟ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ (MAT) ซึ่งเป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคลากรระดับสากล"

มิลเลนเนียม ออโต้ เอาใจผู้มีใจรักในความแรง ด้วยการเปิดตัวอาณาจักร บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M และ M Performance M TOWN by MILLENNIUM AUTO ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ให้เป็นผู้จำหน่ายยนตรกรรม บีเอ็มดับเบิลยู สายพันธุ์ M และ M Performance อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

18
หมอออนไลน์: โรคไตกับโรคหัวใจเกี่ยวกันอย่างไร?

โรคไตกับโรคหัวใจมีความเกี่ยวข้องกัน เกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่เหมือนกัน ทำให้เกิดการแข็งตัวของเส้นเลือด

   หากพูดถึงโรคไตหรือโรคหัวใจแล้ว มั่นใจว่าหลาย ๆ คนเคยได้ยินหรือมีประสบการณ์ทั้งโดยตรงหรือบอกเล่าจากคนใกล้ชิดอยู่เป็นแน่ เนื่องจากทั้งโรคไตและโรคหัวใจเป็นโรคไม่ติดต่อชนิดเรื้อรัง หรือ non-communicable disease ลำดับต้นๆ จากการสำรวจทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก นำไปสู่ความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตจำนวนมากต่อปี และรู้หรือไม่ว่าทั้งโรคไตและโรคหัวใจนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร ทำไมผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจถึงมีความเสี่ยงเป็นโรคไตร่วมด้วย หรือผู้ป่วยโรคไตเองก็เสี่ยงเป็นโรคหัวใจด้วยเช่นเดียวกัน

     เนื่องจากทั้งโรคหัวใจและโรคไต เกิดจากปัจจัยเสี่ยงเหมือนกัน กล่าวคือสาเหตุลำดับต้น ๆ ของโรคหัวใจและโรคไตเกิดจากโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการแข็งตัวของเส้นเลือด หรือไขมันพอกเส้นเลือด (atherosclerosis) นำไปสู่การขาดเลือด และความเสียหายต่ออวัยวะต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่พบเพิ่มมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน การสูบบุหรี่ ความเครียด หรือพฤติกรรมเนือยนิ่ง นั่ง หรือนอนเป็นเวลานาน ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นทั้งโรคหัวใจ และโรคไต

     นอกจากนี้ทราบกันดีว่าหัวใจเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย หากเกิดความผิดปกติต่อหัวใจ เช่น หัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเรื้อรัง จะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตมีความผิดปกติ ส่งผลโดยตรงต่อไต เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงที่ไตน้อยลง เกิดเป็นโรคไตทำงานบกพร่องเรื้อรังได้ง่ายมากขึ้น หรือในกรณีของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะท้ายที่เริ่มขับของเสียและสารพิษต่าง ๆ ได้ลดลง หรือขับปัสสาวะได้ลดลง เกิดการสะสมของของเสีย เกิดภาวะน้ำเกินในร่างกาย ความดันโลหิตเพิ่มสูง ก็จะยิ่งส่งผลเสียโดยตรงต่อหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานได้ลดลง เกิดเป็นโรคหัวใจตามมาด้วย

     จะเห็นได้ว่าทั้งโรคหัวใจและโรคไต มีความเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้ตัวเองหรือคนที่เรารักป่วยเป็นโรคดังกล่าว เพราะฉะนั้นเราทุกคนจึงควรใส่ใจ ดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด เป็นโรคหัวใจหรือโรคไตตั้งแต่ต้น และหมั่นคอยตรวจสุขภาพเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งหัวใจและไตของเราทำงานอยู่ในเกณฑ์ปกติ

คำแนะนำในการดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคไต ที่ปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ซึ่งอาหารเค็มในที่นี้ รวมถึงเกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรส ผงชูรส อาหารแปรรูปต่าง ๆ โดยจำกัดไม่ให้บริโภคโซเดียมเกิน 2 กรัมต่อวัน
    หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเนือยนิ่ง หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง 5 วันต่อสัปดาห์
    ลดน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือสูดดมควันบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมทั้งหัวใจ ปอด และไต และนำไปสู่การเกิดมะเร็งหลายชนิด

     ปรึกษาแพทย์ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคร่วมอื่น ๆ ตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อให้เข้าถึงการรักษาได้อย่างทันท่วงที เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง ห่างไกลจากทั้งโรคหัวใจและโรคไตได้แล้ว

19
จัดฟันบางนา: จัดฟันแบบใส เทรนฮิต เหล่าดาราคนดัง

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการจัดฟันที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเป็นการจัดฟันที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากเท่าไหร่ ถ้าหากเราเปรียบเทียบกับการจัดฟันในรูปแบบอื่นที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การพูด รวมไปถึงการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ยากกว่าปกติ ซึ่งแน่นอนว่า การทำความสะอาดฟันได้ไม่ทั่วถึงหรือไม่สะอาดเท่าที่ควรนั้น ส่งผลทำให้เราเกิดปัญหาช่องปากมากมาย ที่เห็นได้ชัดเลย ก็คือ ทำให้มีกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ และต่อมาก็คือการเกิดโรคฟันผุ ซึ่งการเกิดฟันผุก็เป็นปัญหาหลักของใครหลายๆคน ซึ่งมีความรุนแรงอาจจะทำให้เกิดการสูญเสียฟันได้เลยทีเดียว

ซึ่งถ้าหากเราสูญเสียฟัน ผลที่จะตามมาก็คือ การมีรูปร่างฟันที่ผิดปกติ เพราะอาจจะทำให้เกิดฟันล้ม ฟันห่างได้ จากช่องว่างระหว่างฟัน ทำให้เราเสียบุคลิกภาพ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ และอาจจะส่งผลไปถึงการทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่สะอาด และที่สำคัญที่สุดก็คือ อาจจะส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหารของเรา ทำให้เราบดเคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้ ดังนั้น การที่เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวอย่างสวยงาม จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งหากใครที่มีปัญหาเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะแก้ไขปัญหาด้วยการเข้ารับการจัดฟัน เพื่อที่จะให้มีฟันที่มีประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหาร และการทำความสะอาดได้อย่างเต็มที่

สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ที่เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของรูปแบบการจัดฟัน ที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมจากเหล่าดารานักแสดงมากเลยทีเดียว ด้วยจุดเด่นที่สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ อย่างง่ายดาย และเครื่องมือการจัดฟันที่มีความใส จึงทำให้รู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น มองเห็นได้ยาก ทำให้คนอื่นมองไม่ออกเลยว่าคุณกำลังเข้ารับการจัดฟัน พร้อมกับการตอบโจทย์ไลพ์สไตล์คนรุ่นใหม่ทำให้ใช้ชีวิต รับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันที่จะต้องระมัดระวังเหมือนกับการจัดฟันทั่วไป

ดังนั้น ต้องยอมรับว่า การจัดฟันแบบใส กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มดารา นักแสดง ที่ต้องใช้บุคลิกภาพในการทำงาน ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียบุคลิกภาพ สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การจัดฟันแบบใส ยังช่วยทำให้เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตามไปด้วย เพราะสามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างเต็มที่และทั่วถึงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และอีกข้อหนึ่งที่ทำให้การจัดฟันแบบใสได้รับความนิยมในเหล่าดารา นั่นก็คือ ไม่ต้องเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ เพราะบางครั้งเวลาในการทำงานอาจจะไม่เอื้อในเรื่องของการเข้าพบทันตแพทย์ แต่การจัดฟันแบบใส ก็จะช่วยประหยัดเวลาในเรื่องของการเข้าพบทันตแพทย์ได้

 หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส ทางคลินิกของเรา ก็ยินดีให้คำแนะนำและคำปรึกษา ทางเรามีทันตแพทย์ที่ผานการรับรองจากสถาบันที่สหรัฐอเมริกา และได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการการจัดฟันแบบใสได้อย่างปลอดภัย เพราะการจัดฟันแบบใสนั้น ควรจะเข้ารับการรักษากับทันตแพทย์ที่ผ่านการอบรมและได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้มั่นใจว่า เราจะมีฟันที่สวยงามได้อย่างปลอดภัย ได้รับการบริการตามมาตรฐานสากลเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต



20
มอเตอร์โชว์: เผยโฉม 2025 BMW X3 ดีไซน์ใหม่หมดจด เหลี่ยมสันมากขึ้น เข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว

2025 BMW X3 รหัสตัวถัง G45 เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ มาพร้อมดีไซน์ใหม่หมดจดในภาษาของ BMW ยุคใหม่ ทั้งภายนอกและภายใน โดยเปิดตัวทั้งขุมพลังเบนซิน ดีเซล และ PHEV มาดูกันชัด ๆ ว่า ดีไซน์ที่ใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมแบบนี้จะถูกใจเราหรือไม่

  มิติตัวถัง 2025 BMW X3 (G45)

 ความยาว 4,755 มม.
ความกว้าง 1,920 มม.
ความสูง 1,660 มม.
ระยะฐานล้อ 2,865 มม.
เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม G01 พบว่ารุ่นใหม่ 2025 X3 ยาวขึ้น 34 มม. กว้างขึ้น 29 มม. เตี้ยลง 25 มม. และมีระยะฐานล้อเท่าเดิม

 
ดีไซน์ที่มีทั้งคนชอบ และไม่ชอบ

 BMW X3 ใหม่มาพร้อมดีไซน์ที่เป็นข้อถกเถียงอีกครั้ง โดยเริ่มที่กระจังหน้าไตคู่ Kidney Grille แบบใหม่ที่มีไฟ LED ตัดขอบ ไปจนถึงดีไซน์ในภาพรวมของรถที่มีความเหลี่ยมสัน และโดดเด่นด้วยเส้นตั้งและเส้นเฉียงที่ตัดกัน ทำให้ดูแปลกตา

 โดยในรุ่น X3 30 จะมีกระจังหน้าไตคู่ที่ให้มีเส้นตรงตัดด้วยเส้นเฉียง ส่วนรุ่น X3 M50 จะเป็นเส้นแนวนอนสีดำ รวมถึงมีการตกแต่งด้วยสีดำรอบคัน ทั้งสองรุ่นจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน

 สำหรับดีไซน์ด้านข้าง BMW ระบุว่า ต้องการออกแบบให่รูปลักษณ์โดยรวมดูใหญ่โต และลดทอนเส้นสายให้เหลือเพียง “สิ่งสำคัญ” ซุ้มล้อออกแบบให้รถมีความกว้างและสปอร์ตมากขึ้น ด้านท้ายมีส่วนเว้าเล็กน้อยทำให้ตัวรถโดดเด่นขึ้นมา ท่อไอเสียในรุ่น M50 จะเป็นท่อคู่ 4 ท่อแบบ M ส่วนรุ่นอื่น ๆ จะถูกซ่อนเอาไว้

 สำหรับสีสันภายนอกมีให้เลือกมากมาย อย่างของ X3 M50 ใหม่นั้นมาพร้อมกับสี Dune Grey metallic ส่วนล้ออัลลอยมีให้เลือกตั้งแต่ 18 ไปจนถึง 21 นิ้ว ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย นอกจากนี้ X3 รหัส G45 จะไม่มี “i” ต่อท้ายแล้วสำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน

 
ขุมพลังปรับปรุงใหม่หลายด้าน แต่แรงเท่าเดิม

 สำหรับ X3 ใหม่จะมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ xDrive มาให้ทุกรุ่น รวมถึงมีการออกแบบและมีการปรับปรุงใหม่หลายด้าน โดยมีขุมพลังใต้ฝากระโปรง ดังนี้

 X3 30e xDrive ขุมพลัง PHEV มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตรเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร เมื่อทั้งสองระบบทำงานร่วมกันจะให้กำลังสูงสุด 299 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร จับคู่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 19.7 kWh รองรับการชาร์จ AC 11 kW ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.2 วินาที วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนระยะทางสูงสุด 81 - 90 กม. (WLTP)

 X3 20d xDrive มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตรเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 197 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับระบบ Mild Hybrid 48V ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.7 วินาที

 X3 20 xDrive มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตรเทอร์โบ ทำงานร่วมกับระบบ Mild Hybrid 48V ให้กำลังสูงสุด 208 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.8 วินาที

  ส่วนรุ่นแรงสุด X3 M50 xDrive มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3.0 ลิตรเทอร์โบที่ปรับปรุงใหม่ ทำงานร่วมกับระบบ Mild Hybrid 48V กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 398 แรงม้า แรงบิด 580 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.6 วินาที เท่ากับรุ่นเดิม

 เครื่องยนต์ทั้งหมดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด โดย BMW ระบุว่า X3 ใหม่ทั้งสองรุ่นจะได้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นและเพลาหลังที่กว้างขึ้น ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเพลาหน้าและหลังยังเพิ่มความแม่นยำในการเลี้ยว รวมถึงทำให้การขับขี่ทางตรงดีขึ้นด้วย

 นอกจากนี้สเปคอเมริกาจะมี X3 30 xDrive มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตรเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 255 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับระบบ Mild Hybrid 48V สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ภายใน 6 วินาที

 สำหรับช่วงล่างจะมีออพชัน M Sport suspension ประกอบด้วย sport steering และเบรค M Sport รวมถึงยังสามารถเสริมออพชันในระบบ Dynamic Damper Control ที่ให้ช่วงล่างแบบ adaptive ที่มีความนุ่มนวลกว่าได้ต่างหาก ส่วนรุ่น X3 M50 xDrive จะมีช่วงล่าง M Sport suspension มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมถึงมีพวงมาลัยแบบสปอร์ตแปรผัน, เบรค M Sport, ล้ออัลลอย 20 นิ้ว และเฟืองท้าย M Sport differential มาให้ด้วย

 
ภายในแบบมินิมอล แต่โฉบเฉี่ยว

 สำหรับภายในของ X3 ใหม่มีดีไซน์แบบ BMW ยุคใหม่ คล้ายกับรุ่นพี่อย่าง iX อยู่ไม่น้อย ไฟ Ambient Light ในห้องโดยสารดูล้ำสมัย โดยเฉพาะรุ่น M50 เส้นสายต่าง ๆ มีความตัดกันออกมาเป็นรูปร่างที่ดูแปลกตา แต่ด้วยเส้นแนวนอนที่ยาวของแดชบอร์ดและการลดทอนปุ่มกดต่าง ๆ ทำให้ดูมินิมอล ให้ความสะอาดตา

 เช่นเดียวกับ BMW ยุคใหม่คันอื่น ๆ X3 ใหม่ก็มีจอโค้ง BMW Curved Display ด้วยเช่นกัน มาพร้อมระบบปฏิบัติการล่าสุด BMW Operating System 9 พร้อมระบบ QuickSelect ยังควบคุมด้วยปุ่ม iDrive กลางคอนโซล รวมถึงพวงมาลัยท้ายตัดแบบ 5 และ 7 Series นอกจากนี้ยังมีวัสดุใหม่เป็นโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลที่ถักทอกันบนแผงหน้าปัดซึ่งเป็นครั้งแรกของวัสดุนี้ใน BMW

 ส่วนระบบ ADAS มีให้อย่างครบครันมากขึ้นสำหรับ 2025 X3 เช่น ระบบช่วยจอด Parking Assistant ใหม่ที่สามารถควบคุมจากนอกรถได้แล้วที่ความเร็วต่ำกว่า 65 กม.ชม., ระบบ Traffic Jam Assistant ที่ไม่ต้องจับพวงมาลัยแล้วและทำได้นานขึ้น รวมถึงระบบนำทางใหม่ที่จะให้ข้อมูลได้ดีขึ้นและมี AR ช่วยเพิ่มความสะดวกในการนำทาง

 X3 ใหม่ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ภายใต้ BMW Digital Premium เช่น รองรับ AirConsole สามารถเล่นเกมได้เมื่อจอดรถ, รองรับแอพ DTS AutoStage Video Service เพื่อสตรีมมิ่งรายการไลฟ์และรายการที่ต้องการได้, ระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ปรับปรุงใหม่ รวมถึง “My Modes” ที่ลูกค้าสามารถซื้อเพิ่มได้นอกเหนือจากโหมด Personal, Sport และ Efficient ที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ Expressive Mode, Relax Mode, Digital Art Mode, และโหมดใหม่ล่าสุด Silent Mode

  เริ่ม 1.8 ล้านบาทในสหรัฐฯ

 สำหรับ 2025 BMW X3 ในสหรัฐฯ จะเริ่มการผลิตภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ส่วนรุ่นไฟฟ้าล้วน iX3 (ที่ใช้แพลทฟอร์มแยกกัน) จะมีการเปิดตัวตามมาในปีหน้า ส่วนในบ้านเรา หากมีข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม เราจะนำมารายงานให้ได้ทราบกัน

21
money expo 2024: บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ 7 เดือน-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI)
ดอกเบี้ย : 2.000 %



จุดเด่น
โปรแกรมเงินฝากประจำพิเศษ 7 เดือน ประเภทสมุดคูุ่ฝาก (Passbook) สำหรับบุคคลธรรมดา จ่ายดอกเบียรายเดือน หรือเมท่อครบกำหนดระยะเวลา
รายละเอียดบัญชี
สถาบันการเงิน : ซีไอเอ็มบี ไทย
ชื่อบัญชี : บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ 7 เดือน
ลักษณะบัญชี : ไม่ต้องฝากทุกเดือน
ผู้มีสิทธิฝากและคุณสมบัติ : บุคคลธรรมดา
เปิดบัญชีขั้นต่ำ : 100,000 บาท
ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ : 7 เดือน
ประเภทอัตราดอกเบี้ย : แบบอัตราคงที่

อัตราดอกเบี้ย
ระยะเวลาฝาก   ช่วงเงินฝากที่เลือก   บุคคลธรรมดา   นิติบุคคลทั่วไป   นิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร   ราชการ   รัฐวิสาหกิจ
7 เดือน            ตั้งแต่ 100,000   2.000 %                      -                              -              -            -
หมายเหตุ : อ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยธนาคารตามประกาศฉบับล่าสุด ดูได้ที่นี่
รายละเอียดดอกเบี้ย : -
เงื่อนไขสำคัญ :

สำหรับบุคคลธรรมดา
จำนวนเงินที่รับฝากตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป ต่อรายการฝาก สามารถฝากเพิ่มได้ในระยะเวลาโปรแกรมเงินฝาก
ต้องมีหรือเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ของธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ทำรายการฝาก โดยขื่อบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จะต้องเป็นชื่อเดียวกับบัญชีเงินฝากประจำพิเศษ 7 เดือน

กรณีรับดอกเบี้ยรายเดือน ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยรายเดือน โดยวิธีโอนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของผู้ฝากโดยอัตโนมัติ
กรณีผู้ฝากนำฝากโดยใช้เช็ค หากมีเช็คฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นเช็คคืน มีผลทำให้ยอดเงินฝากต่ำกว่าเงินเปิดบัญชีขั้นต่ำถือว่าผิดเงื่อนไข ดังนั้นยอดเงินฝากนั้นจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภทสมุดคู่ฝาก 7 เดือน ตามประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร ณ วันที่ฝาก

กรณีเงินฝากประจำครบกำหนด หากผู้ฝากไม่มาถอนหรือไม่มีคำสั่งอย่างอื่นหรือไม่สามารถติดต่อผู้ฝากได้ ธนาคารจะต่ออายุการฝากเป็นประเภทเงินฝากประจำสมุดคู่ฝาก 7 เดือน โดยถืออัตราดอกเเบี้ยเงินฝากประจำ ประเภทสมุดคู่ฝาก 7 เดือน ตามประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารที่ใช้บังคับอยู่ ณ วันที่ต่ออายุการฝากนั้น และจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก
 
การจ่ายดอกเบี้ย : จ่ายดอกเบี้ยรายเดือน หรือเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก
สิทธิการถอนก่อนกำหนด :

ถอนเงินฝากก่อน 3 เดือน ธนาคารไม่จ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก
ถอนเงินฝากตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปนับจากวันที่ฝาก แต่ไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาฝาก ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยที่อัตราเงินฝากออมทรัพย์ของจำนวนเงินที่ถอน โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยสำหรัยยอดเงินฝากที่คงเหลือของรายการที่ถอนบางส่วนในอัตราดอกเบี้ยตามประกาศ ณ วันที่ฝาก โดยจะไม่นำไปรวมเป็นวงเงินฝากรวมกับรายการฝากอื่นๆ

กรณีการถอนเงินฝากก่อนครบกำหนดและรับดอกเบี้ยรายเดือน จะต้องถอนเงินต้นทั้งจำนวนของแต่ละยอดการฝาก ห้ามถอนเพียงบางส่วน หากปรากฏว่าดอกเบี้ยที่ผู้ฝากได้รับไปก่อนแล้วมีจำนวนมากกว่าดอกเบี้ยที่ผู้ฝากถึงได้รับตามระยะเวลาที่ฝากไว้จริง ธนาคารจะหักเงินจากเงินต้นเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับเกินไปดังกล่าวออกจากยดเงินฝากก่อนจ่ายคืนผู้ฝาก และธนาคารขอสงวนสิทธิ์ไม่จ่ายคืนภาษีจากดอกเบี้ยที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย เนื่องจากธนาคารได้นำส่งกรมสรรพากรไปแล้ว ผู้ฝากจะต้องติดต่อขอคืนภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายด้วยตนเอง

22
หมอประจำบ้าน: ท่อน้ำดีตีบตันในทารก (Biliary atresia)

ทารก บางรายอาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินน้ำดี* ซึ่งมีได้หลายลักษณะ ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่มีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีทุกส่วนที่อยู่นอกตับ ส่วนน้อยมีการตีบตันของท่อน้ำดีเฉพาะบางส่วน การตีบตันของทางเดินน้ำดี ทำให้น้ำดีที่สร้างในตับระบายไม่ออก เกิดการคั่งอยู่ในตับ ทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย เกิดอาการดีซ่านรุนแรง และมักมีภาวะตับแข็งและตับวายแทรกซ้อนตามมาในที่สุด

บางรายอาจมีภาวะผิดปกติของอวัยวะอื่น (เช่น หัวใจ หลอดเลือด ม้าม ลำไส้) ร่วมด้วย

โรคนี้พบได้น้อยมาก (ประมาณ 1 รายในทารก 10,000 - 20,000 ราย)

*ระบบทางเดินน้ำดี (Biliary system) คือ ระบบท่อน้ำดีที่นำน้ำดีซึ่งสร้างจากเซลล์ในตับไปสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum)

ประกอบด้วย 1.ท่อตับข้างขวา (right hepatic duct ), 2.ท่อตับข้างซ้าย (left hepatic duct ), 3. ท่อตับร่วม (common hepatic duct ), 4. ท่อถุงน้ำดี (cystic duct) 5. ท่อน้ำดีร่วม (commom bile duct)

โดยน้ำดีจากตับข้างขวาและข้างซ้ายไหลผ่านท่อตับข้างขวาและท่อตับข้างซ้ายตามลำดับ ลงไปที่ท่อตับร่วม(เกิดจากการรวมตัวกันของท่อตับข้างขวาและข้างซ้าย)   น้ำดีส่วนใหญ่จะไหลผ่านท่อถุงน้ำดีไปเก็บสะสมที่ถุงน้ำดี  น้ำดีจากถุงน้ำดีและน้ำดีจากท่อตับร่วมจะไหลผ่านท่อน้ำดีร่วมลงไปในลำไส้เล็กส่วนต้น ปนออกไปกับอุจจาระ ทำให้อุจจาระมีสีเหลืองซึ่งเป็นสีของน้ำดี(ที่สร้างจากบิลิรูบินซึ่งเป็นสารสีเหลือง)

โรคท่อน้ำดีตีบตันในทารก มีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีส่วนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 70 - 90) เป็นการตีบตันของท่อน้ำดีทั้งระบบ (ท่อทุกส่วน) ส่วนน้อยมีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีบางส่วน (เช่น ตับตันเฉพาะที่ท่อตับร่วม, หรือเฉพาะที่ท่อน้ำดีร่วม, หรือที่ท่อตับร่วมกับท่อน้ำดีร่วมและถุงน้ำดีทั้ง 3 แห่ง)

สาเหตุ

เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในระยะพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของการสร้างท่อน้ำดีโดยกำเนิด

อีกส่วนหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติโดยกำเนิด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด (กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง หรือออโตอิมมูน) หรือสารพิษบางชนิด ทำให้เกิดการอักเสบของท่อน้ำดีของทารกในครรภ์ เป็นผลให้ท่อน้ำดีสลายตัวและตีบตันตามมา บ้างสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการเอ่อกลับของน้ำย่อยจากตับอ่อนของทารกในครรภ์ หรือ ทำให้ท่อน้ำดีถูกทำลาย

อาการ

ทารกส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติในช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ แต่จะเริ่มมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง และปัสสาวะเหลืองเข้มคล้ายสีขมิ้น ภายในราว 2 สัปดาห์ ถึง 2 เดือนหลังคลอด และจะเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมเดือนจนผิวหนังออกเป็นสีเหลืองปนเขียว อุจจาระมักสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ต่อมาทารกจะมีอาการกระสับกระส่าย น้ำหนักลด

ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการผ่าตัดแก้ไข เซลล์ตับจะถูกทำลายจนเกิดภาวะตับแข็ง มีอาการท้องมาน อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด และภาวะเลือดออกง่าย

ภาวะแทรกซ้อน

ตับแข็ง ตับวาย

ความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง (portal hypertension) ทำให้ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบอาการตาเหลือง ตัวเหลืองจัด (หรือเหลืองปนเขียว) ปัสสาวะเหลืองเข้มเป็นสีขมิ้น อุจจาระสีซีดขาว เมื่ออายุเกิน 2-3 เดือน มักตรวจพบตับโต ม้ามโต อาจพบท้องบวม

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น อัลตราซาวนด์ สแกนตับ (hepatobiliary scan) การเจาะเนื้อตับออกพิสูจน์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

มักจะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขภาวะตีบตันของทางเดินน้ำดีให้ระบายน้ำดีได้สะดวก ซึ่งควรทำก่อนอายุได้ 8 สัปดาห์ และติดตามผลการรักษาเป็นระยะ ในรายที่พบว่าน้ำดียังระบายได้ไม่ดีและมีเซลล์ตับถูกทำลาย แพทย์จะทำการปลูกถ่ายตับ (liver transplantation)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค หากมีความรุนแรงไม่มาก และได้รับการผ่าตัดแก้ไขก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน ทารกก็สามารถเจริญเติบโตได้เป็นปกติ โดยเฉลี่ยราวร้อยละ 50 และ 30 มีชีวิตอยู่ได้นานเกิน 5 และ 10 ปีตามลำดับ ราว 1 ใน 3 ของผู้ป่วยหลังได้รับผ่าตัดแก้ไขภาวะตีบตันของทางเดินน้ำดี การระบายน้ำดียังไม่ดีพอ มักจะเสียชีวิตภายในไม่กี่ปี จากโรคตับแข็งรุนแรงและตับวาย นอกจากจะได้รับการปลูกถ่ายตับ ซึ่งช่วยให้การทำหน้าที่ของตับฟื้นคืนปกติ

ถ้ามีความรุนแรง หรือมีความผิดปกติของอวัยวะอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดปกติของหัวใจ) หรือได้รับการรักษาช้าเกิน (หลังอายุ 8 สัปดาห์ขึ้นไป) ผลการรักษาก็มักจะไม่สู้ดี และมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน (ราว 1-2 ปี หรือไม่เกิน 5 ปี)

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ทารกแรกเกิดมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองที่มีลักษณะเหลืองมากขึ้นเรื่อย ๆ นานเกินสัปดาห์ หรือมีอาการเหลืองจัด และอุจจาระสีซีดขาว ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคท่อน้ำดีตีบตัน ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีไข้ ซึม ดีซ่าน ไม่ดูดนม ท้องเดิน หรือแผลอักเสบ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น)

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

เมื่อพบทารกแรกเกิด มีอาการดีซ่าน ควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง ลักษณะการขับถ่ายและสีอุจจาระ ถ้าพบว่าตัวเหลืองเข้มขึ้นทุกวันนานเกิน 1-2 สัปดาห์ หรือพบว่าอุจจาระสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ควรคิดถึงโรคนี้ และรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

23
จัดฟันบางนา: คราบหินปูน ในช่องปาก ต้นเหตุของโรคเหงือกและฟัน

คุณเคยสงสัยไหม ?
หินปูนที่เกาะติดอยู่ที่ฟันของเรามันเกิดมาจากอะไร ?
มันอยู่บนฟันของเรา แล้วเราก็ต้องเสียเงินไปเอามันออกทุกๆ  6 – 7 เดือน   แล้วทำไมต้องเอาหินปูนออก ?

คราบหินปูน ในช่องปาก คืออะไร ?
หินปูน หรือ หินน้ำลาย   พัฒนามาจากคราบแบคทีเรีย พลาค  ( Plaque )   หรือที่เราเรียกกันว่า ขี้ฟัน ครับ  มันมีลักษณะเป็นฟิลม์ใสๆ บางๆ แล้วเกาะติดอยู่บริเวณขอบเหงือ  มีสี ออกเหลือง หรือเทา

แล้วหินปูนเกิดขึ้นมายังไง  ?
เกิดจากเวลาที่เรากินอาหาร ยิ่งเป็นอาหารประเภท  คาร์โบไฮเดรด ที่มีแป้ง น้ำตาล  แล้วเราแปรงฟันไม่สะอาดพอ  แบคทีเรียในช่องปาก อยู่ได้ เพราะใช้น้ำตาล เป็นแหล่งพลังงาน สร้างกรดและสารพิษ    เมื่อแบคทีเรียถูกสะสม แคลเซียมและอาหารอื่นๆ มาทับถมซ้อนกันก็ทำให้เกิดคราบแข็งเกาะติดจนเป็น หินปูน  ในที่สุด
สรุปคือ เกิดจากการตกตะกอนของแคลเซียม และฟอสเฟรด เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำลาย

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ขูดหินปูนออก   ?
สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณ เวลาแปรงฟันคุณสังเกตุว่ามี เลือดออก เหงือกบวมแดง มีกลิ่นปาก  เสียบุคลิกภาพ ส่งผลแรงแรงอย่างที่คุณไม่คาดคิด คือเป็น โรคปริทันต์อักเสบ  ฟันเริ่มโยก นำไปสู่การ สูญเสียฟัน น่ากลัวมาก

*** คำแนะนำ
สิ่งที่เราจะทำได้ เพื่อป้องกันการเกิดหินปูน คือ
–  แปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ 2 – 3 ครั้ง
–  ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์
–  ใช้ไหมขัดฟัน Floss เพราะแปรงสีฟันเพียงอย่างเดียว อาจเข้าไปทำความสะอาดไม่ถึงคราบซอกฟันของเรา
–  ไปพบหมอ ทุกๆ 6 เดือน เพื่อเอาหินปูนออกและ ตรวจสุขภาพช่องปาก ครับ

24
ออล นิว ไทรทัน: มิตซูบิชิ ประเทศไทย เปิดจอง Triton Athlete 2/4 WD แล้ววันนี้

มิตซูบิชิ ประเทศไทย ประกาศราคาจำหน่าย Mitsubishi Triton Athlete 2024 อย่างเป็นทางการ รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,125,000 บาท ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาเริ่มต้นที่ 1,298,000 บาท สีขาว White Diamond เพิ่ม +10,000 บาททั้ง 2 รุ่นเปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ล็อตแรกพร้อมส่งมอบในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้

Triton Athlete ออกแบบภายใต้แนวคิด “BEAST MODE” ตัวรถมากับตัวถังสีพิเศษ ส้ม Yamabuki Orange Metallic ซึ่งเป็นสีเฉพาะรุ่น Athlete เสริมด้วยสีมาตรฐาน ดำ Jet Black Mica, เทา Graphite Grey และขาว White Diamond จับคู่กับห้องโดยสารที่ตกแต่งแบบสปอร์ตด้วยคู่สีทูโทน ส้ม-ดำ

ทั้ง 2 รุ่นใช้เครื่องยนต์ Hyper Power X2 อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จแบบ 2 สเตจ (Two-stage Turbocharger) กำลังสูงสุดผลิตได้ถึง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 47.8 กก.-ม. มั่นใจด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า Electric Power Steering (EPS)

ไฮไลท์ของ Triton Athlete รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ คือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II หรือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดจาก 2H เป็น 4H ได้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly) เสริมด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง Active Yaw Control (AYC) พร้อม 7 โหมดการขับ ประกอบด้วย Normal, Eco, Gravel, Snow, Mud, Sand และ Rock

นอกจากนี้ Triton Athlete ยังมีเทคโนโลยี MITSUBISHI CONNECT รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชัน My MITSUBISHI CONNECT ช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งงานตัวรถระยะไกล อาทิ การเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร, ล็อค – ปลดล็อคประตูรถ, เปิดไฟหน้า, กดแตรรถ และการค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวรถ รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลสถานะตัวรถ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือ, ระยะทางที่วิ่งต่อได้, ความดันลมยาง

ฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นๆ ยังมี บริการช่วยเหลือบนถนน Roadside Assistance, การแจ้งอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ, การช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม Stolen Vehicle Assistance และระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call)

ระบบความปลอดภัยมี ระบบ Diamond Sense with Adaptive Cruise Control ล็อคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ, ระบบ Forward Collision Mitigation System เตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว, ระบบ Blind Spot Warning เตือนจุดอับสายตา, ระบบ Lane Change Assist แจ้งเตือนขณะเปลี่ยนเลน, ระบบ Rear Cross Traffic Alert เตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด, ระบบ Auto High Beam ปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นกล้องมองภาพรอบคัน Multi Around Monitor (MAM)

มิตซูบิชิระบุว่า เทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI รอบคัน ให้ความปลอดภัยแบบ 360 องศา และยังมีระบบความปลอดภัยพื้นฐานอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Hill Start Assist ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบ Hill Descent Control ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบเบรค ABS / EBD และ BA, ระบบ ASC ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, ระบบ TCL ป้องกันการลื่นไถล, ฟังก์ชั่นเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบควบคุมด้วยเบรก หรือ Active LSD และถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

สำหรับโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE หรือ Reinforced Impact Safety Evolution สามารถรองรับแรงปะทะ และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพของห้องโดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด โดย Triton ทุกรุ่นย่อย ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาว จากการทดสอบการชนโดย ASEAN NCAP

25
ระวัง ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่ให้ อาหารสายยาง !

การให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วยนั้น ถือเป็นเรื่องที่มักพบได้บ่อย ซึ่งเป็นการรักษาทางการแพทย์อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว เกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งการให้อาหารทางสายยางนั้น ผู้ดูแลจะต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการให้อาหารและอาหารที่จะนำมาให้ผู้ป่วยนั้นจะต้องมีขั้นตอนกระบวนการการผลิตที่สะอาด วัตถุดิบจะต้องมีความสะอาด ต้องผลิตในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมสะอาด และที่สำคัญมีการควบคุมการผลิตโดยนักโภชนาการที่มีความชำนาญในเรื่องของการออกแบบสูตรอาหารเพื่อผู้ป่วย

เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคบางโรคจะต้องมีการรับประทานอาหารที่จำกัด วัตถุดิบบางชนิดก็ห้ามรับประทาน หรือบางกรณีผู้ป่วยอาจจะมีการแพ้อาหาร ซึ่งข้อมูลประจำตัวของผู้ป่วยจะต้องมีการแจ้งให้นักโภชนาการรับทราบ เพื่อที่จะได้ออกแบบอาหารมาเหมาะสมกับร่างกายผู้ป่วย รวมไปถึงสัดส่วนและปริมาณ เพื่อป้องการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในผู้ป่วยนั้น ถือเป็นเรื่องที่อันตรายพอสมควร เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เช่นเดียวกันกับการรับประทานยา ก็จะทำให้ลำบากขึ้น เพราะฉะนั้นควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด อาหารการกินของผู้ป่วยจะต้องมีความสะอาด และถูกสุขลักษณะมากที่สุด

สำหรับภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยนั้น มักพบได้บ่อย เพราะเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ปกติ เรื่องของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงมักพบได้บ่อย สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายยาง คือภาวะท้องเดินหรืออาการท้องเสียนั่นเอง สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องเสีย ส่วนใหญ่เกิดจากการเตรียมอาหารที่ไม่สะอาด อาหารมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค หรือการให้อาหารในอัตราที่เร็วเกินไป อาหารเย็นเกินไป

อาหารที่ให้ผู้ป่วยมีความเข้มข้นของอาหารเหลวที่ให้มากเกินไป อาหารมีปริมาณไขมันสูงเกิน 20 กรัมต่อลิตร ต่อมาภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้บ่อยเช่นกัน คือภาวะการขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นผลต่อเนื่องจากปัญหาท้องเดิน หรือในผู้ป่วยรายที่ได้อาหารเข้มข้นสูง นอกจากจะสูญเสียน้ำจากอาการท้องเดินแล้วร่างกายยังต้องการน้ำเพิ่มเพื่อมาเจือจางอาหารที่เข้มข้นเกินไป และในผู้ป่วยที่ได้โปรตีนในปริมาณมากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาขาดน้ำได้ นอกจากนี้การสำลักในผู้ป่วยที่ให้อาหารทางสายยาง ซึ่งผู้ดูแลจะต้องระวังเกี่ยวกับอาการสำลัก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว จะเสี่ยงอันตรายมากเพราะจะเข้าไปที่หลอดลมลงสู่ปอดเกิดภาวะปอดอักเสบจากการสำลักได้ ซึ่งถ้าผู้ป่วยเกิดการสำลักอาหาร ผู้ดูแลควรหยุดการให้อาหารทันที และควรรีบแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป หากปล่อยไว้นานอาจจะเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้

และอีกภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้บ่อยมากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องให้ อาหารทางสายยาง คือ การเกิดโรคขาดสารอาหาร พบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารผ่านสายยางเป็นระยะเวลานาน แต่ผู้ป่วยอาจจะได้รับอาหารที่มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หรือได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน ที่พบบ่อย คือได้อาหารที่เป็นแหล่งพลังงานไม่เพียงพอ มีสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายผู้ป่วยเกิดการขาดวิตามิน และเกลือแร่ ที่พบบ่อยคือภาวะโซเดียมต่ำ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายมากต่อผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ ซึ่งจุดประสงค์หลักๆของการให้อาหารทางสายยางก็คือการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดโรคขาดสารอาหารนั่นเอง เพราะถือว่าเป็นภาวะที่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย

หากเกิดอาการอย่างรุนแรง ทั้งนี้การให้อาหารทางสายยางอาจจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะโรคอ้วนอีกด้วย ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง อาจจะไม่ได้รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ก็เสี่ยงการเกิดภาวะโรคอ้วนได้เช่นกัน ผู้ป่วยที่ได้อาหารทางสายยาง ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ต้องนอนพักบนเตียง ไม่ค่อยมีกิจกรรมการเคลื่อนไหว ดังนั้นเมื่ออยู่ในช่วงพักฟื้น ควรปรับลดปริมาณของพลังงานให้ลดลง เพื่อป้องกันปัญหาการได้รับโภชนาการเกินจนเกิดโรคอ้วนได้ เพราะฉะนั้น ผู้ดูแลควรสังเกตอาการและรูปร่างของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ ผู้ดุแลควรรีบแจ้งแพทย์ผู้รักษาทันที เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย

26
หมอออนไลน์: โรคคุชชิง (Cushing’s syndrome/Hypercortisolism)

โรคคุชชิง (กลุ่มอาการคุชชิง ก็เรียก) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะมีกลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid ซึ่งเป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มหนึ่ง) มากเกิน เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ติดต่อกันนาน ๆ ในบ้านเราพบว่าเกิดจากการใช้สารที่มีสเตียรอยด์ปะปนในรูปของยาชุด ยาหม้อ และยาลูกกลอนที่ผู้ป่วยนิยมซื้อใช้เองโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นอกจากนี้อาจพบในผู้ป่วยที่จําเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการบำบัดรักษาโดยแพทย์ เช่น เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคไตเนโฟรติก ผู้ป่วยหลังผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

ส่วนน้อยเกิดจากต่อมหมวกไต* สร้างฮอร์โมน กลูโคคอติคอยด์ (ส่วนใหญ่ได้แก่ คอร์ติซอล) มากเกิน ดังที่เรียกว่า ภาวะคอร์ติซอลเกิน (hypercortisolism) ซึ่งอาจมีสาเหตุจากเนื้องอกของอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ เช่น

    เนื้องอกต่อมหมวกไต (adrenal adenoma) และมะเร็งต่อมหมวกไต (adrenal carcinoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากผิดปกติ
    เนื้องอกต่อมใต้สมอง (pituitary adenoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH) กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน
    เนื้องอกอื่น ๆ ที่พบบ่อย คือมะเร็งปอดชนิด small cell lung carcinoma และเนื้องอกคาร์ซิ-นอยด์ (carcinoid tumor ซึ่งพบในทางเดินอาหาร ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี ต่อมไทมัส รังไข่ อัณฑะ เป็นต้น) เนื้องอกเหล่านี้สามารถสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน

สำหรับเนื้องอกต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 25-40 ปี ส่วนมะเร็งปอดพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป

การที่ร่างกายมีสารสเตียรอยด์ (ไม่ว่าในรูปของคอร์ติซอลที่ร่างกายสร้างเอง หรือสารสังเคราะห์ที่รับจากภายนอก) อยู่นาน ๆ ส่งผลให้มีการสะสมไขมันตามร่างกาย (ทำให้อ้วนและมีก้อนไขมันพอก) การสลายตัวของโปรตีนของกล้ามเนื้อ (ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาลีบ อ่อนแรง) การสลายตัวของแคลเซียมในกระดูก (ทำให้กระดูกพรุน นิ่วไต) การสร้างกลูโคสที่ตับจากโปรตีนและไขมัน (gluconeogenesis) แล้วปล่อยออกมาในกระแสเลือด (ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน) การยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดและคอลลาเจน (ทำให้ผิวบาง หนังลาย ฟกซ้ำง่าย แผลหายยาก) การคั่งของโซเดียมในร่างกาย (ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง) เพิ่มการสร้างฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจน (ทำให้สิวขึ้น ขนอ่อนขึ้น ประจำเดือนผิดปกติ) ส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ (ทำให้มีอารมณ์เคลิ้ม วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อยากอาหาร) กดภูมิคุ้มกัน (ทำให้ติดเชื้อง่าย) กดการสร้างกระดูกและฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต (ทำให้เด็กเจริญเติบโตช้า)

*ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต่อมไร้ท่อรูปร่างคล้ายผลองุ่นอยู่ตรงส่วนบนของไต (คล้ายหมวกที่ครอบอยู่เหนือยอดไต) ทั้งสองข้างประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนแกน (medulla) กับส่วนเปลือก (cortex)

ต่อมหมวกไตส่วนแกน มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนอะดรีนาลิน (adrenaline) กับนอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) ซึ่งจะช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต การสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะถูกกระตุ้นโดยสมอง
ส่วนต่อมหมวกไตส่วนเปลือก จะสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ (steroid) 3 กลุ่ม ได้แก่

1. แอลโดสเตอโรน (aldosterone) มีหน้าที่ควบคุมระดับเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียม โซเดียมให้อยู่ในภาวะสมดุล

2. ฮอร์โมนเพศ ได้แก่ ฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) และฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน) ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างที่อัณฑะและรังไข่

3. กลูโคคอร์ติคอยต์ (glucocorticoid) มีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ คอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มนี้มีหน้าที่ควบคุมเมตาบอลิซึม (กระบวนการแปรรูปอณู) โดยการสังเคราะห์ (anabolism) และแตกตัว (catabolism) ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้ร่างกายเกิดพลังงาน อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ได้ปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับความเครียด (เช่น การบาดเจ็บ การเจ็บป่วย การติดเชื้อ การทำงานหนัก ความเครียดทางอารมณ์) ที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบรรเทาการอักเสบ และควบคุมภาวะภูมิแพ้และปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง การสร้างฮอร์โมนกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH/adrenocorticotropic hormone) ซึ่งสร้างโดยต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์ และการสร้างเอซีทีเอชก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนซีอาร์เอช (CRH/corticotropin-releasing hormone) ซึ่งสร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัสอีกต่อหนึ่ง ในขณะเดียวกันคอร์ติซอลก็ทำหน้าที่ในการทำปฏิกิริยาป้อนกลับต่อฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีคอร์ติซอลมากเกิน ก็จะไปยับยั้งไม่ให้สร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งจะทำให้ต่อมหมวกไตลดการสร้างคอร์ติซอลลง ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยก็คือ การที่ผู้ป่วยใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ ได้แก่ เพร็ดนิโซโลน (prednisolone) และเดกซาเมทาโซน (dexamethasone) ซึ่งออกฤทธิ์เป็น 5 และ 40 เท่าของคอร์ติซอลตามลำดับ ติดต่อกันนาน ๆ จะยับยั้งการสร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งมีผลทำให้ต่อมหมวกไตฝ่อ สร้างคอร์ติซอลได้น้อยลง ถ้าหากมีการหยุดใช้สารสเตียรอยด์สังเคราะห์ทันทีทันใด อาจทำให้เกิดภาวะขาดสเตียรอยด์เฉียบพลัน กลายเป็นภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis) ได้

อาการ

มักจะค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นแรมเดือน ในระยะแรกจะพบว่าผู้ป่วยหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) แลดูเป็นหนอก ซึ่งทางภาษาแพทย์ เรียกว่า อาการหนอกควาย (buffalo’s hump) รูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง

ผิวหนังจะออกเป็นลายสีคล้ำ ๆ ที่บริเวณท้อง (ท้องลายคล้ายคนหลังคลอด) บริเวณสะโพก กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา ผิวหนังบางและมีจ้ำเขียวพรายย้ำง่ายเวลาถูกกระทบกระแทก

มักมีสิวขึ้นที่หน้า หน้าอก หลัง และมีขนอ่อนขึ้นที่หน้า ลำตัว และแขนขา (ถ้าพบในผู้หญิงทำให้ดูว่าคล้ายมีหนวดขึ้น) กระดูกอาจผุกร่อน มักทำให้มีอาการปวดหลัง (เพราะกระดูกสันหลังผุ) หรือกระดูกแตกหักง่าย

อาจมีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการของเบาหวาน

ผู้หญิงอาจมีเสียงแหบห้าว มีขนมากแบบผู้ชาย ประจำเดือนมักจะออกน้อยหรือไม่มาเลย และมีบุตรยาก

ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกอยากอาหาร ไม่มีความรู้สึกทางเพศ อาจมีอารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้าหรือกลายเป็นโรคจิต

ในรายที่เป็นเนื้องอกต่อมได้สมอง มักมีอาการปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะตอนกลางคืน ตามัว มีน้ำนมไหลผิดธรรมชาติ และอาจมีอาการของภาวะขาดไทรอยด์ร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เช่น หัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก โรคหัวใจขาดเลือด

อาจมีการติดเชื้อง่ายซึ่งจะพบบ่อยที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก

อาจทำให้เป็นแผลเพ็ปติก ต้อกระจก ต้อหินเรื้อรัง กระดูกหักง่าย นิ่วไต หรือเป็นโรคจิต

ถ้าพบในเด็กอาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากการใช้สารสเตียรอยด์มากเกิน ถ้าหากหยุดสเตียรอยด์ทันที (steroid withdrawal) หรือขณะเกิดการเจ็บป่วย ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "ภาวะช็อก") เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ผู้ป่วยมักมีรูปร่างอ้วน พุงป่อง หน้าอูม มีก้อนไขมันขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและต้นคอด้านหลัง แขนขาลีบ หน้ามีสิวและขนอ่อนขึ้น ท้องลาย ก้นลาย ผิวหนังบาง พบจ้ำเขียวพรายย้ำ ความดันโลหิตสูง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจระดับคอร์ติซอลในเลือดและปัสสาวะ ซึ่งพบว่าสูงกว่าปกติ ตรวจระดับเอซีทีเอช (ACTH) ซึ่งจะพบว่าต่ำในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมหมวกไต และพบว่าสูงในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมใต้สมอง และอาจทำการทดสอบที่เรียกว่า “Dexamethasone suppression test”* และอาจจำเป็นต้องทำการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาเนื้องอกต่าง ๆ

นอกจากนี้อาจต้องทำการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ตรวจเลือด (พบน้ำตาลสูง ไขมันชนิดแอลดีแอลและไตรกลีเซอไรด์สูง โพแทสเซียมต่ำ) เอกซเรย์ (พบร่องรอยกระดูกหัก หัวใจห้องล่างซ้ายโต นิ่วไต)

* โดยให้สเตียรอยด์สังเคราะห์ได้แก่ เดกซาเมทาโซน แก่ผู้ป่วยตอนกลางคืน (23:00 น.) แล้ววัดระดับคอร์ติซอลในเลือดตอนเช้า (08.00 น.) ถ้าพบว่ามีค่าต่ำลงมาก ก็มักจะไม่ใช่โรคคุซซิง (เนื่องจากสารนี้จะไปกดต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไตจนลดการสร้างคอร์ติซอล) แต่ถ้าลดลงบางส่วนก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง ถ้าไม่ลดก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไต

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

ในรายที่มีสาเหตุจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน แพทย์จะยังคงให้ผู้ป่วยกินยาสเตียรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน แต่จะหาทางค่อย ๆ ลดขนาดของยาลงทีละน้อย และทำการตรวจวัดระดับคอร์ติซอลในเลือดเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีระดับต่ำ จนกลับสู่ระดับปกติในที่สุด ซึ่งมักจะใช้เวลานานเป็นปี จึงจะหยุดยาสเตียรอยด์

ถ้ามีสาเหตุจากการเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แล้วให้กินยาสเตียรอยด์ทดแทนไปจนตลอดชีวิต เพราะภายหลังการผ่าตัดร่างกายสร้างฮอร์โมนชนิดนี้เองไม่ได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง มีอาการหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) หรือมีรูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคคุชชิง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วอาการไม่ทุเลา มีอาการมีไข้ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หรือมีการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการซื้อยาสเตียรอยด์ และยาชุด ยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์มาใช้เอง

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักเกิดจากการใช้สเตียรอยด์มากเกินเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้พร่ำเพรื่อ หรือใช้อย่างผิด ๆ (เช่น การซื้อยาชุด ยาหม้อ หรือยาลูกกลอนที่มียานี้ผสมกินเป็นประจำ) ยกเว้นโรคบางโรคอาจต้องใช้ยานี้รักษา ซึ่งก็ควรจะอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

2. ในรายที่เป็นโรคคุชชิงจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน ระหว่างรอไปพบแพทย์ ห้ามหยุดยาสเตียรอยด์ทันที ควรให้กินสเตียรอยด์ต่อไปจนกว่าแพทย์จะปรับลดขนาดลง มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะขาดสเตียรอยด์อย่างเฉียบพลัน จนเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

3. โรคนี้ถ้าไม่รักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อน เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

4. ในรายที่เกิดจากเนื้องอกชนิดไม่ร้าย การผ่าตัดจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติได้ แต่จะต้องกินสเตียรอยด์เข้าไปทดแทนในร่างกายตลอดไป ห้ามขาดยาเป็นอันขาด

27
motor expo 2025: โตโยต้าจัดคาราวาน Revo และ Champ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมมอบส่วนลด 30% ให้ถึงสิ้นปี

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด, ชมรมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ และบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนคาราวานรถกระบะ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ และไฮลักซ์ แชมป์ จำนวนรวม 7 คัน ส่งมอบข้าวรัชมงคล 11 ตัน พร้อมถุงยังชีพ 2,000 ชุด เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567

 จากสถานการณ์อุทกภัยที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของพี่น้องชาวภาคเหนือเป็นอย่างมาก ขณะที่ทุกภาคส่วนต่างระดมความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้  ในวันที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติ พลังแห่งความร่วมมือคือสิ่งสำคัญยิ่งในการช่วยเหลือเกื้อกูล

มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด, ชมรมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า  ทั่วประเทศ และบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด มีความห่วงใยและตั้งใจในการร่วมช่วยเหลือคนไทย ให้ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันโดยเร็วที่สุด จึงได้ร่วมมือกันสนับสนุนถุงยังชีพ จำนวน 2,000 ชุด ข้าวรัชมงคล 11 ตัน และสุขากระดาษจากมูลนิธิเอสซีจี (SCG Foundation) จำนวน 300 ชุด เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เดือดร้อนในแต่ละพื้นที่ และชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับผู้แทนจำหน่ายฯ ตลอดจนส่งรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ และไฮลักซ์ แชมป์ จำนวนรวม 7 คัน เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

นอกจากนี้ทาง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ร่วมเติมเต็มความช่วยเหลือในครั้งนี้ โดยขอมอบส่วนลด 30% สำหรับค่าอะไหล่และเคมีภัณฑ์ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย สำหรับลูกค้าโตโยต้าทุกรุ่นที่รับภาระค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง นอกเหนือจากความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัย สามารถเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการซ่อมทั่วไป หรือศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสี ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ธันวาคม 2567

 มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ขอยืนหยัด   พันธกิจในการสนับสนุน และเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคนมีขวัญ และกำลังใจ ร่วมฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปได้อย่างปลอดภัย



28
ตับอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้ทัน ป้องกัน รักษาได้

“ตับ” เป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีความสำคัญทำหน้าที่กรองของเสีย ขจัดสารพิษตกค้างที่ได้รับจากการรับประทานอาหารให้ออกไปจากร่างกาย หากเกิดภาวะตับอักเสบขึ้นมา ก็จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเกิดความผิดปกติตามมา และอาจอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งการเกิดตับอักเสบนั้น อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือสาเหตุอื่นๆ อย่างการดื่มแอลกอฮอล์ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา สารพิษบางชนิด ฉะนั้นการตรวจคัดกรองสุขภาพตับ หรือตรวจเช็กสุขภาพประจำปี จะช่วยให้สามารถหาแนวทางการป้องกันและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ได้

ตับอักเสบเป็นอย่างไร

ตับอักเสบ คือ ภาวะที่ตับเกิดการอักเสบจากสาเหตุอะไรก็ตาม มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง หากการอักเสบของตับไม่หายไปและเป็นแบบเรื้อรัง จะเกิดพังผืด หรือแผลเป็นในเนื้อตับ เมื่อเป็นมากขึ้น จนกระจายทั่วทั้งตับ เรียกว่า ภาวะตับแข็งและมีโอกาสสูงที่จะมีมะเร็งตับแทรกซ้อนขึ้นได้
ตับอักเสบ มี 2 ประเภท

    ภาวะเฉียบพลัน คือ ตับอักเสบที่เกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตามที่การอักเสบหายได้เองในระยะ 6 เดือน
    ภาวะเรื้อรัง คือ ตับอักเสบจากสาเหตุใดก็ตาม ที่ไม่หายเองภายใน 6 เดือน โดยการตรวจเลือดพบมีร่องรอยของการอักเสบ และมักไม่มีอาการบ่งบอกจนกว่าจะถึงระยะสุดท้ายของโรค หรือตับวาย

ตัวการที่ทำให้ตับอักเสบ

ตับอักเสบอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

    การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
        ไวรัสตับอักเสบเอ และอี มักมีการติดต่อหรือแพร่เชื้อผ่านทางการรับประทานอาหาร หรือการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสซึ่งออกมาจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ
        ไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถติดต่อหลักทางเลือด เพศสัมพันธ์ การสักตามร่างกาย เจาะหูหรืออวัยวะต่างๆ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน อาจติดจากมารดาสู่ทารก
        ไวรัสตับอักเสบดี มีการติดต่อจากเลือดของผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง และเกิดขึ้นกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เท่านั้น เพราะไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้หากไม่มีไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เป็นชนิดที่รุนแรงแต่พบได้น้อย
    การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี อาจเป็นเหตุให้ตับเกิดความเสียหายหรืออักเสบได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดตับแข็ง
    การใช้ยาและได้รับสารพิษบางชนิด โดยการใช้ยาเกินปริมาณและเกินระยะเวลาที่กำหนด หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิดในปริมาณน้อยก็อาจสร้างความเสียหายต่อตับได้ เช่น ยาพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟ่น ยารักษาวัณโรค รวมถึงยาฮอร์โมน วิตามินบำรุง หรือสมุนไพรต่างๆ
    ภาวะไขมันพอกตับ สัมพันธ์กับภาวะต่างๆ ได้แก่ โรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุง ผู้ตรวจพบโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ การรับประทานอาหารพลังงานสูงเป็นประจำ เช่น แป้ง น้ำตาล ไขมัน
    สาเหตุอื่นๆ เช่น การติดเชื้อจากโรคไข้เลือดออก ไข้รากสาด ไข้ป่า การอุดกันทางเดินน้ำดี จากภูมิแพ้ตนเอง เป็นต้น

อาการของตับอักเสบ

สามารถพบได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ แต่ทราบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ แล้วพบว่าค่าตับผิดปกติ เมื่อมีการอักเสบมากขึ้น จะเริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือ ภาวะดีซ่าน หรือหากร้ายแรงจนถึงขั้นเรื้อรังจนเซลล์ตับถูกทำลายมากๆ อาจทำให้กลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด

การตรวจวินิจฉัยตับอักเสบ

มักพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ แล้วพบว่าค่าตับผิดปกติ โดยเบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วย เพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรค และอาจมีการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อวินิจฉัยตับอักเสบร่วมด้วย ได้แก่

    การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาค่าการทำงานของตับ ได้แก่ ค่า ALT, AST, ALP ที่ผิดปกติ หรือการตรวจหาเชื้อไวรัส
    การตรวจตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (Fibroscan) เป็นการตรวจไขมันในตับและการตรวจพังผืดในตับ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับรวมถึงระดับพังผืดและตับแข็งได้โดยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว ใช้เวลาไม่นาน

การรักษาตับอักเสบ

วิธีการรักษาจะแตกต่างกันตามสาเหตุ และความรุนแรงของตับอักเสบ ดังนี้

    จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
        ไวรัสตับอักเสบเอ และอี เป็นการติดเชื้อที่ค่อนข้างเฉียบพลันและหายเองได้ในระยะสั้น แพทย์อาจแนะนำให้นอน พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
        ไวรัสตับอักเสบดี พบได้น้อยมาก ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัส
        ไวรัสตับอักเสบบี เมื่อพบว่าเป็นแบบเฉียบพลันส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เอง หากเป็นแบบเรื้อรังผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาต้านเชื้อไวรัสหรือยาอื่นๆ แพทย์ต้องประเมินการรักษาเป็นประจำ และรักษาอย่างต่อเนื่อง
        ไวรัสตับอักเสบซี ปัจจุบันมียาต้านเชื้อไวรัสชนิดรับประทานที่ได้ผลดี สามารถรักษาจนหายขาดได้
    จากการดื่มแอลกอฮอล์ ควรหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยการรักษาด้วยยานั้นจะใช้ในกรณีบรรเทาอาการ เช่น การใช้ยาลดการอักเสบของตับ
    จากการใช้ยาและได้รับสารพิษบางชนิด รักษาได้ด้วยการหยุดใช้ยาหรือสารที่เป็นต้นเหตุ และรักษาตามอาการป่วยอื่นๆ ที่เกิดขึ้น
    จากภาวะไขมันพอกตับ หากพบว่าเป็นไขมันพอกตับ แพทย์จะพิจารณาให้ยารับประทานตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และหลีกเลี่ยงหรืองดความเสี่ยงๆ หรือปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ

การดูแลตัวเองของผู้ป่วยตับอักเสบ

    ควรรับประทานอาหารเหมาะสม เป็นอาหารที่ถูกสุขอนามัย สะอาดและครบทุกหมู่
    หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่ไม่จำเป็น รวมถึงยาสมุนไพร ยาลูกกลอนและอาหารเสริมจำนวนมาก
    ผู้ป่วยตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สุก สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรง
    หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ทุกชนิด
    ออกกำลังกายสม่ำเสมอผู้ป่วยตับอักเสบควรเลือกการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมเหมาะกับวัย เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ
    ใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทุกครั้งในการใช้ยา
    ควรตรวจเลือดทุก 3-6 เดือนและตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน

ตับอักเสบป้องกันได้อย่างไร

    หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่
        การเจาะ สักผิวหนัง
        การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
        การใช้ของมีคมร่วมกับบุคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
        การมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน
        บุคลากรทางการแพทย์ ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุมเมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
        หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพื่อให้ตับได้พักจากการทำงานหนัก และป้องกันความเสี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์
    หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ เพื่อป้องกันทารกการติดเชื้อ
    การฉีดวัคซีน โดยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี จะมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็ม (0,1,6 เดือน) สามารถสร้างภูมิต้านทานได้มากกว่าร้อยละ 95 ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต รวมทั้งวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอด้วยเช่นกัน

29
บ้านติดรถไฟฟ้า บริทาเนีย ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ (Britania Ratchaphruek - Nakhon In)
เริ่มต้น 6.09 ลบ.

บริทาเนีย ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ (Britania Ratchaphruek - Nakhon In)
บ้านดีไซน์ใหม่ สไตล์ English Gable ทำเลใจกลางราชพฤกษ์ ที่สุดของความเป็น Community ใกล้ The Walk ราชพฤกษ์ เชื่อมต่อจตุจักร-สาทร เพียง 15 นาที เอกสิทธิ์ส่วนตัวเพียง 99 ครอบครัว

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              บริทาเนีย ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ (Britania Ratchaphruek - Nakhon In)
 เจ้าของโครงการ         เอช เซม
 ราคา                      เริ่มต้น 6.09 ลบ.

 ประเภทบ้าน            บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         19 ไร่ 3 งาน 28 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน             99 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด      1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน             ตั้งแต่ 35.8 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย           ตั้งแต่ 165 ถึง 220 ตร.ม.
 จำนวนชั้น             2 ชั้น
 หน้ากว้าง              ตั้งแต่ 8.1 ถึง 10.2 ม.
 จำนวนห้องนอน      4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ        2 คัน
 สาธารณูปโภค            สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (Smart Home Security, Digital Door Lock, IP Camera, Motion Sensor, Smoke & Heat Detector, Smart Siren Alarm, Fiber Optic Internet, USB Port Outlet), Keycard System, Home Automation

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง            95 หมู่ 10 ซอยบางเลน 21 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140

 ขนส่งสาธารณะ          ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(บางพลู)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ตลาดเจ้าพระยา
The Walk ราชพฤกษ์
Home Pro ราชพฤกษ์
The Crystal Park ราชพฤกษ์
Central Plaza Westgate / IKEA
Central Plaza รัตนาธิเบศร์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นนทบุรี
โรงเรียนเด่นหล้า พระราม 5
โรงพยาบาลบางใหญ่
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์

30
ระวัง “นอนกรน” ส่งผลกับชีวิตกับการจัดฟันเด็ก EF Line ช่วยได้

เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยประสบปัญหาการนอนกรน หรือคนรอบข้างนอนกรนกันมาบ้างไม่มากก็น้อย หลายๆท่านมองว่าการนอนกรนแค่สร้างปัญหารำคาญให้คนรอบข้างในขณะหลับเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว จากการศึกษาวิจัยการนอนกรนอาจจะมีภาวะที่เรียกว่าหยุดหายใจชั่วขณะร่วมด้วยส่งผลให้สมองขาดออกซิเจน และหากว่ามีอาการที่หนักกว่านี้อาจจะส่งผลถึงชีวิตได้

ในวันนี้ทางด้าน Clinic จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับต้นเหตุและความอันตรายของการนอนกรน รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาด้วย EF Line นวัตกรรมสุดทันสมัย ที่ครอบคลุมเรื่องการจัดฟันเด็กเล็ก ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้า รวมถึงช่วยแก้ปัญหาอาการนอนกรนของท่านได้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 การนอนกรนเกิดจากอะไร ?

อาการนอนกรน เกิดขึ้นในขณะหลับเนื่องจากว่ากล้ามเนื้อคอเกิดการผ่อนคลายและหย่อนตัวลง ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง เมื่ออากาศผ่านจึงเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อคอ เช่น ทอนซิล ลิ้นไก่ เพดานอ่อน เป็นต้น ซึ่งการสั่นดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เกิดเสียงดัง ที่เรียกว่า “กรน”

นอกจากการเกิดภาวะการกรนตามธรรมชาติแล้ว ยังเกิดขึ้นจากอาการป่วยที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจด้วย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยโรคอ้วน การมีเนื้องอกหรือถุงน้ำของระบบทางเดินหายใจส่วนบน การนอนกรนก็ถือว่าเป็นสัญญาณของโรคเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ช่วยให้หายนอนกรน

เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะรู้จักกับชุดเครื่องมือทางทันตกรรม EF Line กันมาบ้างแล้ว แต่หลายๆท่านอาจจะทราบเพียงแค่ว่า อุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่ในการช่วยจัดฟันที่ผิดปกติของเด็กเล็กวัยตั้งแต่ 4 ขวบ เพื่อให้กลับมาเป็นปกติและไม่มีปัญหาตามมาอีก รวมถึงปรับโครงสร้างส่วนกระดูกขากรรไกรให้เข้าที่เพื่อช่วยให้ใบหน้าที่ผิดรูปเข้าทรงตามปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า อาการนอนกรน EF Line ก็สามารถช่วยได้ เนื่องจากว่าการนอนกรนส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่มีตำแหน่งลิ้นผิดปกติ รวมถึงขากรรไกรที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่ง EF Line สามารถปรับส่วนต่างๆเหล่านี้ให้สมดุล เป็นธรรมชาติมากที่สุดโดยที่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะ EF Line จะค่อยๆปรับส่วนต่างๆทีละนิดไม่ใช่การเร่งรีบในการดัดจึงไม่มีอันตรายหากใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรมชนิดนี้ แถมยังส่งผลดีต่อโครงสร้างใบหน้าอีกด้วย

 วิธีใช้ EF Line ช่วยแก้ไขอาการนอนกรนทำอย่างไร ?

ในช่วงแรกต้องขอบอกว่าอาจจะไม่เคยชินในการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line อาจจะมีการเคืองบ้างเล็กน้อย แต่ในขณะที่กำลังหลับให้พยายามใส่ให้ติดปาก โดยใส่ขณะที่นอนหลับนั้นจะใช้เวลาในการใส่อยู่ที่ 10 ชั่วโมง เพื่อปรับการวางลิ้นและขากรรไกรให้เข้าที่ ท่านก็จะเลิกอาการนอนกรนได้ในเวลาไม่นาน

 เผย 6 วิธีลดอาการนอนกรน ?

1.    ควบคุมน้ำหนัก

ต้องขอบอกเลยว่าความอ้วนถือว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของการนอนกรน เนื่องจากช่องทางเดินหายใจบริเวณคอถูกบีบให้เล็กลงด้วยชั้นไขมันสะสม รวมถึงไขมันในส่วนของหน้าอกและท้องก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายต้องทำการหายใจหนักขึ้น

2.    ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยให้ช่องเนื้อทางเกินหายใจดึงรั้งและมีความแข็งแรงขึ้น เนื้อเยื่อในลำคอจะไม่หย่อนมากในขณะหลับ

3.    จัดท่านอนให้ดี

พยายามนอนตะแคงงอข้อศอกให้ชิดลำคอ เพื่อเป็นการให้ข้างมือยันคางไว้เพื่อเป็นการปิดปากไปในตัว หรือนอนหนุนหมอนข้างไว้เพื่อไม่ให้เกิดการพลิกตัว ก็จะช่วยให้ท่านหายจากการนอนกรนได้

4.    ยกศีรษะให้สูง

หากว่าการนอนตะแคงไม่สามารถทำได้ให้ลองวิธีการนอนหงาย และใช้หมอนใบเล็กๆสอดไว้ใต้ลำคอด้านบน จะช่วยให้ลิ้นไม่หย่อนลงลำคอ การหายใจจะสะดวกขึ้น สามารถลดอาการนอนกรนได้

5.    ทำที่นอนให้สะอาดอยู่เสมอ

ที่ต้องทำที่นอนให้สะอาดส่วนหนึ่งเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืด ซึ่งเกิดจากไรฝุ่น โรคเหล่านี้เป็นต้นเหตุสำคัญของการนอนกรนด้วยเช่นกัน

6.    ทำจมูกให้สะอาดก่อนนอน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดกั้นการหายใจ หรือทำให้หายใจไม่สะดวก คือปัจจัยสำคัญในการนอนกรน ซึ่งในขณะที่กำลังจะนอนให้ทำการทำความสะอาดโพรงจมูกให้สะอาด ก็จะสามารถช่วยไม่ให้นอนกรนได้อีกทางหนึ่ง

 ดังที่กล่าวมานั้นการนอนกรนถือว่าอันตรายกับชีวิตของท่านเอง และสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างอีกด้วย หากว่าใช้ทั้ง 6 วิธีที่กล่าวมาแล้วยังไม่ได้ผล แนะนำปรึกษาทันตแพทย์เพื่อใช้อุปกรณ์ EF Line จะสามารถช่วยท่านได้

หน้า: [1] 2 3 ... 8